ปฏิบัติการกายวิภาคศาสตร์ และสรีรวิทยา2 ภาควิชาเภสัชศาสตร์และสรีรวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย2

สมัครงานเภสัชเครื่องสำอาง

บริษัท เชสเต้ (ประเทศไทย) จำกัด
ประกอบธุรกิจด้านการผลิตและขายสมุนไพรเปลี่ยนสีผมและบำรุงศรีษะ รวมถึงผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยมีตัวแทนขายทั่วประเทศ กำลังต้องการผู้มีความรู้ความสามารถเข้าร่วมงานในตำแหน่งต่างๆ ดังต่อไปนี้



เภสัช ด้านเครื่องสำอาง
ชื่อตำแหน่ง : เภสัช ด้านเครื่องสำอาง
คุณสมบัติผู้สมัคร : •• วุฒิ ปริญญาตรี สาขาที่เกี่ยวข้อง
• มีความละเอียดรอบคอบ
ลักษณะงาน : งานประจำ
สถานที่ปฎิบัติงาน : สมุทรปราการ
จำนวนที่รับ : 10
เงินเดือน : ไม่ระบุ
สวัสดิการ : ไม่ได้ระบุ
วิธีการสมัคร : สนใจติดต่อได้ที่
ติดต่อ : คุณพงศ์วณัฐ


สมัครงานเภสัช

บริษัท เซ็นทรัล วัตสัน จำกัด
อยู่ในกลุ่มบริษัท A.S. Watson ผู้ค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพและความงามที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและยุโรป ต้องการรับสมัครพนักงานเข้าร่วมงานในตำแหน่งต่างๆ ดังนี้



เภสัชกร
ชื่อตำแหน่ง : เภสัชกร
คุณสมบัติผู้สมัคร : •• วุฒิ ปริญญาตรี เภสัชศาสตร์ มีใบประกอบวิชาชีพเภสัชศาสตร์
• มีใจรักในงานบริการ มีบุคลิกภาพดี อายุไม่เกิน 30 ปี • สามารถทำงานตามตารางงานที่กำหนดได้ • สามารถสื่อสารเป็นภษาอังกฤษและใช้คอมพิวเตอร์ได้ดี • หากมีประสบการณ์การทำงานร้านยา หรือโรงพยาบาลจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ
ลักษณะงาน : งานประจำ
สถานที่ปฎิบัติงาน : กรุงเทพมหานคร
เงินเดือน : ไม่ระบุ
สวัสดิการ : ไม่ได้ระบุ
วิธีการสมัคร : ผู้สนใจสามารถติดต่อได้ที่
ติดต่อ : ศูนย์สรรหาว่าจ้างและฝึกอบรม/ ฝ่ายทรัพยากรบุคคล

พิษวิทยา


พิษวิทยา
(จาก ภาษากรีก คำ τοξικός -- toxicos"พิษ"และโลโก้) เป็นสาขาของชีววิทยาและยาที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาผลกระทบของ สารเคมี ในสิ่งมีชีวิต เป็นอาการของการศึกษากลไกการรักษาและ การตรวจหา สารพิษ โดยเฉพาะคนที่เป็นพิษของ

ประวัติ


Lithograph of Mathieu Orfila พิมพ์หิน ของ Mathieu Orfila See also: History of poison See also : ประวัติความเป็นมาของยาพิษ
Dioscorides , a Greek physician in the court of the Roman emperor Nero, made the first attempt to classify plants according to their toxic and therapeutic effects. Ibn Wahshiya wrote the Book on Poisons in the 9th or 10th century. Dioscorides , แพทย์กรีกใน Nero ศาลของโรมันจักรพรรดิทำครั้งแรกเพื่อจำแนกตามพืชพิษและการรักษาได้ Ibn Wahshiya wrote ศตวรรษ Book on พิษ 10 ที่ 9 หรือใน

Mathieu Orfila is considered to be the modern father of toxicology, having given the subject its first formal treatment in 1813 in his Traité des poisons , also called Toxicologie générale . Mathieu Orfila ถือว่าเป็นพ่อที่ทันสมัยของพิษวิทยา, มีการกำหนดเรื่องการรักษาอย่างเป็นทางการครั้งแรกใน 1813 ใน des พิษ Traité เขาเรียกว่า Generale Toxicologie

In 1850 Jean Stas gave the evidence that the Belgian Count Hypolyte Visart de Bocarmé killed his brother-in-law by poisoning with nicotine ใน 1850 Jean Stas ให้กับหลักฐานที่เบลเยียมครั้ง Hypolyte Visart de Bocarmé ฆ่าน้องชายของเขา - in - กฎหมายโดยพิษ นิโคติน
Theophrastus Phillipus Auroleus Bombastus von Hohenheim (1493–1541) (also referred to as Paracelsus , from his belief that his studies were above or beyond the work of Celsus - a Roman physician from the first century) is also considered "the father" of toxicology. He is credited with the classic toxicology maxim, " Alle Dinge sind Gift und nichts ist ohne Gift; allein die Dosis macht, dass ein Ding kein Gift ist. " Theophrastus Phillipus Auroleus Bombastus von Hohenheim (1493-1541) (ยังเรียกว่า Paracelsus จากความเชื่อของเขาที่เขามีการศึกษาสูงกว่าหรือเกินกว่าการทำงาน Celsus -- แพทย์โรมันตั้งแต่ศตวรรษแรก) ถือว่ายัง"พ่อ"ของพิษวิทยา เขาหลักพิษวิทยาเครดิตคลาสสิค"Alle Dinge sind Gift nichts und ist Gift ohne; Dosis macht die allein, dass ein Ding ist kein Gift. which translates as, "All things are poison and nothing is without poison; only the dose makes a thing not a poison." ซึ่งแปลว่า"ทุกสิ่งเป็นพิษและไม่มีอะไรที่ไม่มีพิษ; เท่านั้นขนาดทำให้สิ่งที่ไม่เป็นพิษ. This is often condensed to: "The dose makes the poison". นี้มักจะย่อ to :"ยาทำให้พิษ"

The relationship between dose and its effects on the exposed organism is of high significance in toxicology. ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณและผลกระทบต่อชีวิตสัมผัสคือความสำคัญสูงในพิษวิทยา The chief criterion regarding the toxicity of a chemical is the dose, ie the amount of exposure to the substance. เกณฑ์หัวหน้าเกี่ยวกับความเป็นพิษของสารเคมีเป็นปริมาณคือปริมาณการเปิดรับสารที่ All substances are toxic under the right conditions. สารทุกสารพิษภายใต้เงื่อนไขด้านขวา The term LD 50 refers to the dose of a toxic substance that kills 50 percent of a test population (typically rats or other surrogates when the test concerns human toxicity). คำ LD 50 หมายถึงโดยทั่วไปจะเป็นยาพิษของสารที่ฆ่าร้อยละ 50 ของประชากรทดสอบ ( หนู หรือ surrogates อื่น ๆ เมื่อกังวลทดสอบความเป็นพิษของมนุษย์) LD 50 estimations in animals are no longer required for regulatory submissions as a part of pre-clinical development package. [ citation needed ] LD 50 ประมาณการในสัตว์ที่ไม่ต้องส่งกำกับดูแลเป็นส่วนหนึ่งของ การพัฒนาทางคลินิก pre - package .

The conventional relationship (more exposure equals higher risk) has been challenged in the study of endocrine disruptors . ความสัมพันธ์ทั่วไป (รับเพิ่มเติมเท่ากับความเสี่ยงสูง) ได้รับการท้าทายในการศึกษา disruptors ต่อมไร้ท่อ

Toxicity of metabolites ความเป็นพิษของสาร
Many substances regarded as poisons are toxic only indirectly. สารจำนวนมากถือว่าเป็นพิษเป็นพิษทางอ้อมเท่านั้น An example is "wood alcohol," or methanol , which is chemically converted to formaldehyde and formic acid in the liver . ตัวอย่างเช่น"แอลกอฮอล์ไม้"หรือ เมทานอล ซึ่งเป็นแปลงทางเคมีเพื่อ ฟอร์มาลดีไฮด์ และ กรด ใน ตับ It is the formaldehyde and formic acid that cause the toxic effects of methanol exposure. เป็นฟอร์มาลดีไฮด์และกรดที่ก่อให้เกิดพิษของเมทานอลรับ As for drugs , many small molecules are made toxic in the liver, a good example being acetaminophen (paracetamol), especially in the presence of chronic alcohol use. สำหรับ ยาเสพติด หลาย โมเลกุลขนาดเล็ก ที่ผลิตสารพิษในตับตัวอย่างที่ดีถูก acetaminophen (paracetamol) โดยเฉพาะในเรื้อรังต่อหน้า แอลกอฮอล์ ใช้ The genetic variability of certain liver enzymes makes the toxicity of many compounds differ between one individual and the next. ความแปรปรวนทางพันธุกรรมของตับบาง เอนไซม์ ทำให้สารพิษหลายแตกต่างกันหนึ่งบุคคลและถัดไป Because demands placed on one liver enzyme can induce activity in another, many molecules become toxic only in combination with others. เพราะต้องการวางเอนไซม์ตับหนึ่งสามารถทำให้เกิดกิจกรรมในอีกหลายโมเลกุลเป็นพิษเท่านั้นร่วมกับผู้อื่น A family of activities that many toxicologists engage includes identifying which liver enzymes convert a molecule into a poison, what are the toxic products of the conversion and under what conditions and in which individuals this conversion takes place. ครอบครัวกิจกรรมที่ toxicologists มากประกอบรวมถึงการระบุที่เอนไซม์ตับแปลงโมเลกุลเป็นพิษเป็นสิ่งที่เป็นพิษของผลิตภัณฑ์และการแปลงสภาพและสิ่งที่บุคคลแปลงนี้จะเกิดขึ้น

Subdisciplines of toxicology ของพิษวิทยา
There are various specialized subdisciplines within the field of toxicology that concern diverse chemical and biological aspects of this area. มี subdisciplines พิเศษต่างๆในด้านพิษวิทยาที่มีสารเคมีที่เกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพและลักษณะของพื้นที่นี้ For example, toxicogenomics involves applying molecular profiling approaches to the study of toxicology. Other areas include Aquatic toxicology , Chemical toxicology, Ecotoxicology , Environmental toxicology , Forensic toxicology , and Medical toxicology . ตัวอย่างเช่น toxicogenomics เกี่ยวข้องกับการใช้วิธีโปรไฟล์โมเลกุลในการศึกษาของพิษวิทยา พื้นที่อื่น ๆ ได้แก่ พิษน้ำ พิษวิทยาเคมี สำหรับสัตว์น้ำแต่ละ , พิษวิทยาสิ่งแวดล้อม , Forensic พิษวิทยา และ พิษวิทยาแพทย์

Chemical toxicology [ เคมีพิษวิทยา]
Chemical toxicology is a scientific discipline involving the study of structure and mechanism related to the toxic effects of chemical agents, and encompasses technology advances in research related to chemical aspects of toxicology. พิษวิทยาของสารเคมีเป็นสาขาวิชาทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับตัวแทนการศึกษาโครงสร้างและกลไกที่เกี่ยวข้องกับสารพิษผลกระทบของสารเคมีและครอบคลุม เทคโนโลยี ก้าวหน้าในการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับด้านเคมีของพิษวิทยา Research in this area is strongly multidisciplinary, spanning computational chemistry and synthetic chemistry , proteomics and metabolomics , drug discovery , drug metabolism and mechanisms of action, bioinformatics , bio analytical chemistry , chemical biology , and molecular epidemiology . การวิจัยในพื้นที่นี้เป็นอย่างยิ่งสหสาขาวิชาชีพ, spanning เคมีคอมพิวเตอร์ และ เคมีสังเคราะห์ , proteomics และ metabolomics , การค้นพบยา , เผาผลาญยา และกลไกการออกฤทธิ์ ชีวสารสนเทศ , ไบโอ เคมีวิเคราะห์ , ชีววิทยาเคมี และ โมเลกุลระบาดวิทยา

ปฏิบัติการกายวิภาคศาสตร์ และสรีรวิทยา2 ภาควิชาเภสัชศาสตร์และสรีรวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ชีวเภสัชกรรม


ชีวเภสัชกรรม

(อังกฤษ:Biopharmacy) เป็นกลุ่มวิชาที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคและการใช้ยารักษาโรคซึ่งมีสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องดังนี้

1.หลักการเกิดโรค
2.เภสัชกรรมชีวภาพและเภสัชจลนพลศาสตร์
3.เภสัชบำบัด
4.พิษวิทยาเบื้องต้น
5.เภสัชกรรมคลินิกเบื้องต้น
6.ยาปัจจุบันและยาใหม่
7.ปัญหาพิเศษทางเภสัชกรรมคลินิก
8.การตรวจติดตามปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา
หลักการเกิดโรค
1.ลักษณะกระบวนวิชามีดังนี้
1.เป็นการศึกษาความผิดปรกติของเซลล์ เนื้อเยื่อ อวัยวะ หรือ กลุ่มอวัยวะในร่างกาย โดยเน้นการศึกษาสาเหตุการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานและกลไกการเกิดโรค เพื่อสามารถนำไปใช้อธิบายการเกิดโรค
2.หลักการพื้นฐานในการรักษา บรรเทาและป้องกันความผิดปกติในเซลล์เนื้อเยื่อ อวัยวะ หรือกลุ่มอวัยวะในร่างกาย
2.วัตถุประสงค์การเรียนรู้
1.เพื่อให้ทราบถึงสาเหตุ การเปลี่ยนแปลงพื้นฐาน และกลไกการเกิดโรค และ สามารถนำไปใช้อธิบายการเกิดโรคได้
2.เพื่อให้ทราบถึงหลักการพื้นฐานในการรักษา บรรเทา และป้องกันการเกิดโรค
เภสัชกรรมชีวภาพและเภสัชจลนพลศาสตร์
1.ลักษณะกระบวนวิชา เพื่อให้มีความรู้และความเข้าใจในหลักการ สามารถอธิบายถึงกระบวนการกระจายของยาตลอดจนปัจจัยต่างๆที่มีผลต่อการกระจายยาในร่างกายได้ และเพื่อให้มีความรู้และความเข้าใจในเรื่องการจับของยากับโปรตีน และผลของการจับของยากับโปรตีนที่มีต่อกระบวนการทางเภสัชพลศาสตร์และเภสัชจลนศาสตร์
2.วัตถุประสงค์การเรียนรู้ คือสามารถ
1.อธิบายถึงความหมายของการกระจายยาและปริมาตรของการกระจาย (Vd) ได้
2.บอกสิ่งกีดขวางทางสรีรวิทยา (Physiological barrier) ในการกระจายตัวของยาได้
3.อธิบายถึงขั้นตอนในการกระจายตัวของยาไปยังเซลล์หรือตำแหน่งที่ยาออกฤทธิ์ได้
4.บอกปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกระจายยาได้
5.อธิบายถึงการจับของยากับโปรตีนได้
6.บอกผลของการจับของยากับโปรตีนต่อกระบวนการทางเภสัชพลศาสตร์และเภสัชจลนศาสตร์ได้
7.บอกถึงปัจจัยที่มีผลต่อการจับของยากับโปรตีนได้
8.บอกถึงการกระจายผ่านโครงสร้างพิเศษ เช่น รก , Blood Brain Barrier ได้
9.บอกถึงการสะสมของยาในเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ ได้
10.อธิบายความหมายของ Redistribution ได้
เภสัชบำบัด
1.ลักษณะกระบวนวิชา เกี่ยวข้องกับ
1.อาการและพยาธิของโรคต่างๆ เป้าหมายการรักษา การวางแผนการรักษา การใช้ยาเพื่อบำบัดรักษาโรคตามอาการและพยาธิสภาพของโรคที่พบบ่อย เช่น โรคติดเชื้อ โรคทางเดินอาหาร โรคทางเดินหายใจ โรคความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด เป็นต้นปัญหาที่เกิดจากการใช้ยารวมทั้งแนวทางป้องกันและแก้ไข
2.การรักษาด้วยยา โดยให้มีการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผลสำหรับโรคและความผิดปกติของระบบต่างๆในร่างกาย รวมทั้งสาเหตุและกลไกในการเกิดโรค ความผิดปกติของระบบนั้นๆ และกลไกในการออกฤทธิ์ของยาในการรักษาโรค
2.วัตถุประสงค์การเรียนรู้
1.ให้มีความรู้เกี่ยวกับโรคต่างๆ ที่พบได้บ่อยในโรงพยาบาล การแปลผลค่าทางห้องปฏิบัติการ การเลือกใช้ยา การวางแผนการรักษา และการให้คำแนะนำในการใช้ยา ให้เหมาะสมในผู้ป่วยแต่ละราย
2.ให้สามารถประเมินปัญหาที่เกิดจากการใช้ยาในผู้ป่วยแต่ละราย และสามารถค้นคว้าด้วยตนเองเพื่อหาคำตอบ และสามารถนำความรู้ที่ได้มาวางแผนป้องกันหรือหาวิธีในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขี้นในผู้ป่วยแต่ละรายได้
3.เพื่อให้มีความรู้และเข้าใจถึงสาเหตุในการเกิดโรค ความผิดปกติของระบบต่างๆ และกลไกในการออกฤทธิ์ของยา เพื่อให้สามารถนำยาไปใช้รักษาโรคและความผิดปกติของระบบต่างๆได้อย่างสมเหตุสมผล
พิษวิทยาเบื้องต้น
1.ลักษณะกระบวนวิชา เป็นวิชาเกี่ยวกับความเป็นพิษจากยาและสารเคมีอื่นที่พบในชีวิตประจำวัน รวมถึงสารที่พบในสิ่งแวดล้อม กลไกที่เกี่ยวข้องกับการเกิดพิษ อาการแสดงทางคลินิกของการเกิดพิษและวิธีแก้ไขอาการพิษ
2.วัตถุประสงค์การเรียนรู้ เพื่อให้เข้าใจถึงพิษวิทยาของยา สารเคมี และสารพิษอื่นๆ รวมทั้งทราบถึงกลไกที่เกี่ยวข้องกับการเกิดพิษ อาการแสดงทางคลินิกของการเกิดพิษและวิธีแก้ไขอาการพิษ
เภสัชกรรมคลินิกเบื้องต้น
1.ลักษณะกระบวนวิชา บทบาทและหน้าที่ของเภสัชกรในการให้การบริการทางเภสัชกรรมคลินิกด้านต่างๆ เช่น การบันทึกประวัติการใช้ยา การติดตามและประเมินผลการใช้ยา การติดตามอาการอันไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา การแปลผลระดับยาในร่างกาย การให้สารอาหารทางหลอดเลือด เป็นต้น
2.วัตถุประสงค์การเรียนรู้ เพื่อให้ทราบถึงบทบาทและหน้าที่ของเภสัชกรในการให้การบริการทางเภสัชกรรมคลินิกด้านต่างๆ
ยาปัจจุบันและยาใหม่
1.ลักษณะกระบวนวิชา การประเมินยาใหม่ โดยการค้นคว้าหาความรู้ใหม่ๆ จากวารสารหรือเอกสารทางวิชาการต่างๆ แล้วนำมาถกแถลงในเชิงเปรียบเทียบกับยาที่ใช้ในปัจจุบัน ในคุณสมบัติทางเภสัชวิทยา พิษวิทยา ข้อดี ข้อเสีย และการใช้ทางคลินิก
2.วัตถุประสงค์การเรียนรู้ เพื่อให้สามารถที่จะ
1.ประเมินยาใหม่ประเภทต่างๆ ตามหัวข้อที่กำหนดให้
2.ใช้ยาได้อย่างถูกต้องและมีเหตุผลในผู้ป่วยแต่ละกรณี
3.พัฒนาความสามารถและทัศนคติในการเปรียบเทียบข้อมูลที่ได้จากทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ และจากทางบริษัทผู้ผลิตจำหน่าย
4.พัฒนาความสามารถรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับการรักษาทางยาแล้วนำมาเรียบเรียงให้เข้าใจง่ายและชัดแจ้งทั้งในการเขียนและการพูดด้วยความั่นใจ
ปัญหาพิเศษทางเภสัชกรรมคลินิก
1.ลักษณะกระบวนวิชา
1.ฝึกปฏิบัติการดำเนินการวางแผนการวิจัย ขั้นตอนการทำวิจัย การวิเคราะห์ข้อมูล รวมทั้งการนำเสนอผลงาน
2.ปัญหาพิเศษ โดยการค้นคว้าวิจัยด้วยตนเอง ภายใต้การแนะนำดูแลของคณาจารย์ เขียนรายงานส่งพร้อมทั้งเสนอรายงานต่อคณาจารย์
2.วัตถุประสงค์การเรียนรู้ เมื่อเรียนจบ ผู้เรียนจะสามารถ
1.เพื่อให้สามารถวางแผนการวิจัย ขั้นตอนการทำวิจัย การวิเคราะห์ข้อมูล รวมทั้งการนำเสนอผลงานด้านบริบาลเภสัชกรรม
2.ค้นคว้าและทำวิจัย แก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง
3.สามารถนำความรู้พื้นฐานทางด้านต่างๆ มาประยุกต์ในการค้นคว้าวิจัย
การตรวจติดตามปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา
1.ลักษณะกระบวนวิชา ปัญหาที่เกิดจากการใช้ยา ปฏิกิริยาอันไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา วิธีการติดตามผลอันไม่พึงประสงค์ การบันทึกรวบรวมข้อมูล วิธีการประเมินปฏิกิริยาที่สงสัยว่าจะเกิดจากการใช้ยาวิเคราะห์และประเมินผลลักษณะและชนิดของปฏิกิริยาอันไม่พึงประสงค์
2.วัตถุประสงค์การเรียนรู้ เมื่อเรียนจบ ผู้เรียนทราบถึงบทบาทและหน้าที่ของเภสัชกรในการดำเนินงานเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดจากการใช้ยา ปฏิกิริยาอันไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา วิธีการติดตามผลอันไม่พึงประสงค์ การบันทึกรวบรวมข้อมูลและการรายงานตามระบบรายงาน วิธีการประเมินปฏิกิริยาที่สงสัยว่าจะเกิดจากการใช้ยา วิเคราะห์และประเมินผลลักษณะและชนิดของปฏิกิริยาอันไม่พึงประสงค์ได้
• กเภสัชกรรม

วิชาในสาขาฯ เภสัชภัณฑ์ • เคมีเภสัชภัณฑ์ • เภสัชวิทยา • จุลชีววิทยา • เคมี • ชีวเคมี • เภสัชพฤกษศาสตร์ • เภสัชวินิจฉัย •เภสัชอุตสาหกรรม • สรีรวิทยา • กายวิภาคศาสตร์ • อาหารเคมี • เภสัชกรรม • นิติเภสัชกรรม • บริหารเภสัชกิจ • เภสัชกรรมคลินิก • เภสัชศาสตร์สังคม • เภสัชกรรมโรงพยาบาล • ปฏิบัติการเภสัชกรรม • เทคโนโลยีเภสัชกรรม • ชีวเภสัชศาสตร์ • เภสัชกรรมชุมชน • พิษวิทยา

สัญลักษณ์ โกร่งบดยา • เรซิพี (℞) • ถ้วยยาไฮเกีย • ถ้วยตวงยา • เฉลว • กากบาทเขียว


เภสัชวิทยา



เภสัชวิทยา


(อังกฤษ: Pharmacology มาจากภาษากรีก pharmacon แปลว่ายา และ logos แปลว่าวิทยาศาสตร์) คือการศึกษาว่าสารเคมีมีปฏิกิริยากับสิ่งมีชีวิตอย่างไร ถ้าสารเหล่านี้มีคุณสมบัติเป็นยา จะถูกจัดให้เป็นเภสัชภัณฑ์ เภสัชวิทยามีเนื้อหาดังนี้

องค์ประกอบของยา (drug composition)
คุณสมบัติของยา (drug properties)
ปฏิกิริยา (interaction)
พิษวิทยา (toxicology)
ผลที่ต้องการใช้รักษาโรค
การพัฒนาเวชภัณฑ์ไม่เพียงแต่มีความสำคัญทางการแพทย์เท่านั้น ยังมีความหมายต่อเศรษฐกิจ และการเมืองด้วย เพื่อป้องกันผู้บริโภคจากการใช้ยาผิดรัฐบาลส่วนใหญ่จะควบคุมการผลิต การจำหน่ายและการบริหารจัดการเวชภัณฑ์อย่างเข้มงวดในประเทศไทยหน่วยงานที่มีหน้าที่ควบคุมดูแลการใช้ยาคือ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยามีชื่อย่อว่า "อย." ในสหรัฐอเมริกา หน่วยงานนี้เรียก FDA (Food and Drug Administration) สูตรยาที่จะผลิตออกใช้หรือจำหน่ายจ่ายแจกจะต้องไดรับอนุญาตจากคณะกรรมการอาหารและยานี้ และจัดพิมพ์ในตำรับยาแห่งชาติซึ่งในสหรัฐอเมริกาเรียกว่าUSP ย่อจาก United States Pharmacopeia ประเทศไทยก็ใช้ตำรับยานี้อ้างอิงเช่นกัน


พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์
การศึกษาเกี่ยวกับเคมีเวชภัณฑ์ต้องการความรู้อย่างลึกซึ้งว่าสารเคมีเหล่านี้มีผลต่อระบบชีววิทยาทั้งระบบอย่างไร โดยเฉพาะความรู้ทางชีววิทยาของเซลล์ และชีวเคมี ทำให้เกิดความก้าวหน้าและขยายขอบเขตสาขาของเภสัชวิทยามากขึ้น โดยเฉพาะการวิเคราะห์โมเลกุลของของเอนไซม์ เพื่อการออกแบบสารเคมีให้มีผลเฉพาะที่ในระดับโมเลกุล ในมุมมองทางเภสัชวิทยา คุณสมบัติหลายอย่างของยาจะขึ้นกับ

เภสัชจลนศาสตร์ (Pharmacokinetics)


โดยเฉพาะ
1.ครึ่งชีวิต (half-life) และ
2.ปริมาตรกระจายตัว (volume of distribution) ของยา และ
เภสัชพลศาสตร์ (pharmacodynamics)
1.ยาออกฤทธิ์อย่างไรและส่วนไหนของร่างกาย (mode of action)
2.ยามีพิษอย่างไรและส่วนไหนของร่างกาย (potential toxicity)
เมื่อพิจารณาถึงคุณสมบัติเภสัชจลนศาสตร์ (pharmacokinetic) ของยา นักเภสัชวิทยามีหลักในการศึกษาคือดกผข (ADME) :

การดูดซึม ( Absorption) - ยาถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายอย่างไร (ผ่านผิวหนัง ผนังลำไส้ หรือเยื้อบุผนังในช่องปาก) ?
กระจายตัว (Distribution) - ยากระจายตัวในร่างกายอย่างไร?
เผาผลาญ (Metabolism) - ยาถูกเปลี่ยนแปลงทางเคมีในร่างกายไปเป็นสารประกอบตัวไหน มีฤทธ์อย่างไรและมีพิษหรือไม่อย่างไร?
ขับถ่าย (Excretion) - ยาถูกกำจัดอย่างไร (ทางน้ำดี ปัสสาวะ หรือผิวหนัง) ?
การใช้ยาซึ่งวัดกันที่ขอบเขตความกว้างหรือแคบของการรักษา (therapeutic margin) หรือ (therapeutic window) ในยาที่มีขอบเขตการรักษาแคบจะให้ยาผู้ป่วยยากและต้องการการติดตามการรักษา (therapeutic drug monitoring) อย่างใกล้ชิดเช่น

วาร์ฟาริน (warfarin)
แอนตี้อิพิเลปติก (antiepileptic) บางตัว
อะมิโนไกลโคไซด์ (aminoglycoside)
การจัดแบ่งประเภทยา
ยาสามารถจัดแบ่งได้หลายประเภทเช่น

คุณสมบัติทางเคมี
รูปแบบการให้ยา
ผลต่อระบบชีววิทยา
ระบบจำแนกประเภทยาตามการรักษาทางกายวิภาคศาสตร์ (Anatomical Therapeutic Chemical
Classification System) เป็นที่นิยมใช้กันมาก

ประเภทของเวชภัณฑ์
ยาสำหรับทางเดินอาหาร (gastrointestinal tract) หรือ ระบบย่อยอาหาร
ทางเดินอาหารส่วนบน (Upper digestive tract) :
1.ยาลดกรด (antacid)
2.รีฟลักซ์ สัพเพรสแซนต์ (reflux suppressant)
3.แอนตี้ฟลาตูเลนต์ (antiflatulent)
4.แอนตี้โดพามิเนอร์จิก (antidopaminergic)
5.โปรตอนปั๊มอินฮิบิเตอร์ (proton pump inhibitor)
6.เอช2 รีเซพเตอร์แอนตาโกนิสต์ (H2-receptor antagonist)
7.ไซโตโปรเทคแตนต์ (cytoprotectant)
8.โปรสตาแกลนดิน อานาลอก (prostaglandin analogue)
ทางเดินอาหารส่วนล่าง (Lower digestive tract) :
1.ยาระบาย (laxative)
2.ยาแก้เกร็ง (antispasmodic)
3.ยาแก้ท้องร่วง (antidiarrhoeal)
4.ไบล์แอซิดซีเควสแตนต์ (bile acid sequestrant)
5.โอปิออยด์ (opioid)
ยาสำหรับระบบหัวใจและหลอดเลือด (cardiovascular system)
ทั่วไป (General) :
1.บีตารีเซพเตอร์บล็อกเกอร์ (beta-receptor blocker)
2.แคลเซียมแชนเนลบล็อกเกอร์ (calcium channel blocker)
3.ยาขับปัสสาวะ (diuretic)
4.คาร์ดิแอคไกลโคไซด์ (cardiac glycoside)
5.แอนติอะริทึมมิก (antiarrhythmic)
6.ไนเตรต (nitrate)
7.แอนติอันจินัล (antianginal)
8.วาโสคอนสตริกเตอร์ (vasoconstrictor)
9.วาโสไดเลเตอร์ (vasodilator)
10.เพอริเฟอรัลแอคติเวเตอร์ (peripheral activator)
ยาลดความดัน (Antihypertensive) :
1.เอซีอีอินฮิบิเตอร์ (ACE inhibitor)
2.แองกิโอเทนซินรีเซพเตอร์บล็อกเกอร์ (angiotensin receptor blockers)
3.แอลฟาบล็อกเกอร์ (alpha blocker)
เกี่ยวกับการจับตัวของเลือด (Coagulation) :
1.แอนติโคอะคูเลชั่น (anticoagulant)
2.เฮพาริน (heparin)
3.ยายับยั้งเกล็ดเลือด (antiplatelet drug)
4.ไฟบริโนไลติก (fibrinolytic)
5.แอนติฮีโมฟิลิกแฟคเตอร์ (anti-hemophilic factor)
6.ยาห้ามเลือด (haemostatic drug)
ยาโรคท่อเลือดแดงและหลอดเลือดแดงแข็ง/ยาคอเลสเตอรอล (Atherosclerosis/cholesterol agents) :
1.ยาลดไขมันในเส้นเลือด (hypolipidaemic agent)
2.สแตติน (statin)
ยาสำหรับระบบประสาทส่วนกลาง (central nervous system)
1.ฮิปโนติก (hypnotic)
2.แอนเอสทิติก (anaesthetics)
3.แอนตี้ไซโคติก (antipsychotic)
4.แอนตี้ดีเปรสแซนต์ (antidepressant) (ประกอบด้วย
1.ไตรไซคลิก แอนติดีเปรสแซนต์ (tricyclic antidepressants)
2.โมโนเอมีน ออกซิเดส อินฮิบิเตอร์ (monoamine oxidase inhibitor)
3.เกลือลิเทียม (lithium salt)
4.สิเลกตีพ เซอโรโทนิน รีอัพเทค อินฮิบิเตอร์ (selective serotonin reuptake inhibitor)) ,
5.แอนตี้ อีมิติก (anti-emetic)
6.แอนตี้คอนวัลแซนต์ (anticonvulsant)
7.แอนตี้อีพิเลปติก (antiepileptic)
8.แอนซิโอไลติก (anxiolytic)
9.บาร์บิทูเรต (barbiturate)
10.มูพเมนต์ ดีสออเดอร์ (movement disorder drug)
11.ยากระตุ้น (stimulant) (ประกอบด้วย
1.แอมเฟตามีน (amphetamine)) ,
12.เบนโซไดอซิปีน (benzodiazepine)
13.ไซโคไพโรโลน (cyclopyrrolone)
14.โดพามีน แอนตาโกนิสต์ (dopamine antagonist)
15.แอนตี้ฮีสตามีน (antihistamine)
16.คอลิเนอร์จิก (cholinergic)
17.แอนตี้คอลิเนอร์จิก (anticholinergic)
18.อิมิติก (emetic)
19.แคนนาบินอยดส์ (cannabinoids)
20.5-เอชที แอนตาโกนิสต์ (5-HT antagonist)
ยาสลบ และยาระงับปวด (Analgesic & Anesthetic drugs)
1.ยาระงับปวด (analgesic) (ประกอบด้วย
1.อะเซตามิโนเฟน (acetaminophen)
2.ยาแก้อักเสบชนิดไม่มีสเตียรอยด์ (NSAID)
3.โอปิออยด์ (opioid)
2.ยาชาเฉพาะที่ (local anesthetic)
3.ยาสลบ (general anaesthetic)
4.ยากดประสาท หรือสงบระงับ (sedative)
5.ยารักษาไมเกรน (migraine treatment drug)
ยาสำหรับระงับปวดกล้ามเนื้อ (Muscular system) และโครงสร้าง(Skeleton)
1.เอ็นเซด (NSAID) ,
2.ยาคลายกล้ามเนื้อ (muscle relaxant)
3.ยานิวโรมัสคูลาร์ (neuromuscular drug)
4.แอนตี้คอลิเนสเตอเรส (anticholinesterase)
ยาสำหรับโรคตา
ทั่วไป (General) :
1.อะดรีเนอร์จิก นิวโรน บล็อกเกอร์ (adrenergic neurone blocker)
2.แอสตริงเจนต์ (astringent)
3.ออกคูลาร์ ลูบริแคนต์ (ocular lubricant)
ไดแอกโนสติก (Diagnostic) :
1.ทอปิคอล อะเนสทีติก (topical anesthetics)
2.ซิมแพโทมิเมติก (sympathomimetic)
3.พาราซิมแพโทมิเมติก (parasympatholytic)
4.ไมดริเอติก (mydriatic)
5.ไซโคลพลิจิก (cycloplegic)
แอนติ-แบคทีเรียล (Anti-bacterial) :
1.ยาปฏิชีวนะ (antibiotic)
2.ยาปฏิชีวนะเฉพาะที่ (topical antibiotic)
3.ยาซัลฟา (sulfa drugs)
4.อะมิโนไกลโคไซด์ (aminoglycosides)
5.ฟลูออโรควิโนโลน (fluoroquinolones)
ยาต้านไวรัส (Anti-viral) :
ยาต้านเชื้อรา (Anti-fungal) :
1.อิมิดาโซล (imidazole)
2.พอลิอีน (polyene)
ยาต้านการอักเสบ (Anti-inflammatory) :
1.เอ็นเซด (NSAID)
2.คอร์ติโคสเตอรอยด์ (corticosteroids)
แอนติ-อัลเลอร์จี (Anti-allergy) :
1.แมสต์เซลล์ อินฮิบิเตอร์ (mast cell inhibitors)
แอนติ-กลอโคมา (Anti-glaucoma) :
1.อะดรีเนอร์จิก อะโกนิสต์ (adrenergic agonist)
2.บีต้า-บ๊ลอคเกอร์ (beta-blocker)
3.คาร์บอนิก แอนไฮเดรส อินฮิบิเตอร์ (carbonic anhydrase inhibitor)/ไฮเปอร์ออสโมติก (hyperosmotic)
4.คอลิเนอร์จิก (cholinergic)
5.ไมโอติก (miotic)
6.พาราซิมแพโทมิเมติก (parasympathomimetic)
7.โปรสตาแกลนดิน อะโกนิสต์ (prostaglandin agonists)/โปรสตาแกลนดิน อินฮิบิเตอร์ (prostaglandin inhibitor)
8.ไนโตรกลีเซอรีน (nitroglycerin)
ยาสำหรับหูคอจมูก
1.ซิมแพโทมิเมติก (sympathomimetic)
2.แอนตี้ฮีสตามีน (antihistamine)
3.แอนตี้คอลิเนอร์จิก (anticholinergic)
4.เอ็นเซด (NSAID)
5.สเตอรอยด์ (steroid)
6.ยาฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ (antiseptic)
7.ยาระงับความรู้สึกเฉพาะที่ (local anesthetic)
8.ยาต้านเชื้อรา (antifungal)
9.ซีรูมิโนไลติก (cerumenolytic)
[แก้] ยาสำหรับระบบทางเดินหายใจ (respiratory system)
1.บรองโคไดเลเตอร์ (bronchodilator)
2.เอ็นเซด (NSAID)
3.แอนตี้-อัลเลอร์จิก (anti-allergic)
4.ยาแก้ไอ (antitussive)
5.มิวโคไลติก (mucolytic)
6.ดีคอนเจสแตนท์ (decongestant)
7.คอร์ติโคสเตอรอยด์ (corticosteroid)
8.บีต้า-รีเซพเตอร์ แอนตาโกนิสต์ (beta-receptor antagonist)
9.แอนตี้คอลิเนอร์จิก (anticholinergic)
10.สเตอรอยด์ (steroid)
ยารักษาโรคต่อมไร้ท่อ (endocrine)
1.แอนโดรเจน (androgen)
2.แอนตี้แอนโดรเจน (antiandrogen)
3.กอแนโดโทรปิน (gonadotropin)
4.คอร์ติโคสเตอรอยด์ (corticosteroid)
5.โกรว์ท ฮอร์โมน (growth hormone)
6.อินสุลิน (insulin)
7.แอนตี้ไดอะเบติก (antidiabetic)
1.ซัลโฟนิลยูเรีย (sulfonylurea)
2.ไบกูอะไนด์ (biguanide)/เมตฟอร์มิน (metformin)
3.ไทอะโซลิดีนไดโอน (thiazolidinedione)
4.อินสุลิน (insulin)
8.ไทรอยด์ ฮอร์โมน (thyroid hormone)
9.ยาแอนติไทรอยด์ (antithyroid drug)
10.แคลซิโตนิน (calcitonin)
11.ไดฟอสโพเนต (diphosponate)
12.วาโสเพรสซิน อะนาล๊อก (vasopressin analogue)
ยาสำหรับระบบสืบพันธ์ (reproductive system) หรือทางเดินปัสสาวะ (urinary system)
1.ยาต้านเชื้อรา (antifungal)
2.อัลคาลิซิง เอเจนต์ (alkalising agent)
3.ควิโนโลน (quinolones)
4.ยาปฏิชีวนะ (antibiotic)
5.โคลิเนอร์จิก (cholinergic)
6.แอนติโคลิเนอร์จิก (anticholinergic)
7.แอนตี้คอลิเนสเตอเรส (anticholinesterase)
8.ยาแก้เกร็ง (antispasmodic)
9.5-แอลฟา รีดักเทส อินฮิบิเตอร์ (5-alpha reductase inhibitor)
10.ซีเลกทีพ แอลฟา-1 บล็อกเกอร์ (selective alpha-1 blocker)
11.ซิลเดนาฟิล (sildenafil)
ยาคุมกำเนิด (contraception)
1.คอนทราเซปตีพ (contraceptive)
2.ยาคุมกำเนิดชนิดรับประทาน (oral contraceptives)
3.ยาฆ่าอสุจิ (spermicide)
4.ดีโป คอนทราเซปตีพ (depot contraceptives)
ยาสำหรับโรคอ้วนและการเจริญเติบโต (obstetrics and gynaecology)
1.เอ็นเซด (NSAID)
2.แอนติคอลิเนอร์จิก (anticholinergic)
3.ยาห้ามเลือด (haemostatic drug)
4.แอนติไฟบริโนไลติก (antifibrinolytic)
5.การรักษาด้วยการแทนที่ฮอร์โมน (Hormone Replacement Therapy)
6.ยาควบคุมกระดูก (bone regulator)
7.บีต้า-รีเซพเตอร์ อะโกนิสต์ (beta-receptor agonist)
8.ฟอลลิเคิล สติมูเลติง ฮอร์โมน (follicle stimulating hormone)
9.ลูทีอีไนซิง ฮอร์โมน (luteinising hormone)
10.แอลเอชอาร์เอช (LHRH)
11.กาโมลินิก แอซิด (gamolenic acid)
12.กอแนโดโทรปิน รีลีส อินฮิบิเตอร์ (gonadotropin release inhibitor)
13.โปรเจสโตเจน (progestogen)
14.ดอพามีน อะโกนิสต์ (dopamine agonist)
15.เอสโตรเจน (estrogen)
16.โปรสตาแกนดิน (prostaglandin)
17.กอแนโดรีลิน (gonadorelin)
18.คลอมิฟีน (clomiphene)
19.ทามอกซิเฟน (tamoxifen)
20.ไดอีทิลสติลเบสตรอล (Diethylstilbestrol)
ยารักษาโรคผิวหนัง
1.อีโมลเลียนต์ (emollient)
2.แอนติพรูริติก (antipruritic)
3.ยาต้านเชื้อรา (antifungal)
4.ยาฆ่าเชื้อโรค (disinfectant)
5.สคาบิไซด์ (scabicide)
6.ยาฆ่าเหาหรือหมัด (pediculicide)
7.ผลิตภัณฑ์ทาร์ (tar products)
8.ไวตามิน เอ ดีริวาตีพ (vitamin A derivatives)
9.ไวตามิน ดี อานาลอก (vitamin D analogue)
10.เคอราโตไลติก (keratolytic)
11.สารขัดถู (abrasive)
12.ยาปฏิชีวนะระบบเลือด (systemic antibiotic)
13.ยาปฏิชีวนะเฉพาะที่ (topical antibiotic)
14.ฮอร์โมน (hormone)
15.ดีสเลาซิ่ง เอเจนต์ (desloughing agent)
16.เอ็กซูเดต แอบซอร์บเบนต์ (exudate absorbent)
17.ไฟบริโนไลติก (fibrinolytic)
18.โปรติโอไลติก (proteolytic)
19.สารกันแดด (sunscreen)
20.ยาลดการขับเหงื่อ (antiperspirant)
ยารักษาโรคติดเชื้อ (infections and infestations)
1.ยาปฏิชีวนะ (antibiotic)
2.ยาต้านเชื้อรา (antifungal)
3.แอนติเลปรอติก (antileprotic)
4.ยาต้านวัณโรค (antituberculous drug)
5.ยาต้านเชื้อมาเลเรีย (antimalarial)
6.ยาฆ่าหรือขับพยาธิ (anthelmintic)
7.อะโมอีบิไซด์ (amoebicide)
8.ยาต้านไวรัส (antiviral)
9.ยาต้านเชื้อโปรโตซัว (antiprotozoal)
10.แอนติซีรัม (antiserum)
ยารักษาโรคภูมิคุ้มกัน (immunology)
1.วัคซีน (vaccine)
2.อิมมูโนกลอบูลิน (immunoglobulin)
3.อิมมูโนซัพเพรสแซนต์ (immunosuppressant)
4.อินเตอร์เฟอรอน (interferon)
5.โมโนโคลนัล แอนติบอดี้ (monoclonal antibody)
ยารักษาโรคภูมิแพ้ภูมิแพ้ (Allergy)
1.แอนติ-อัลเลอรจิก (anti-allergic)
2.แอนติฮีสตามีน (antihistamine)
3.เอ็นเซด (NSAID)
อาหารเสริม (nutrition)
1.ยาเจริญอาหาร (tonic)
2.ตำรับเหล็ก (iron preparation)
3.อีเล็กโตรไลต์ (electrolyte)
4.พาเรนเตอรัล นิวตริชนัล ซัพพลิเมนต์ (parenteral nutritional supplement)
5.ไวตามิน (vitamin)
6.ยาลดความอ้วน (anti-obesity drug)
7.ยาอะนาโบลิก (anabolic drug)
8.ยาฮีมาโตพอยอีติก (haematopoietic drug)
9.ผลิตภัณฑ์อาหาร (food product drug)
ยาต้านมะเร็ง (neoplastic)
1.ยาไซโตทอกซิก (cytotoxic drug)
2.ฮอร์โมนเพศ (sex hormone)
3.อะโรมาเตส อินฮิบิเตอร์ (aromatase inhibitor)
4.โซมาโตสแตติน อินฮิบิเตอร์ (somatostatin inhibitor)
5.recombinant อินเตอร์ลิวคิน (interleukin)
6.G-CSF (Granulocyte-colony stimulating factor)
ยาสำหรับตรวจวินิจฉัย (diagnostics)
1.คอนทราสต์ มีเดีย (contrast media)
ยาสำหรับการทำให้ตายอย่างไม่ทรมาน
1.ยูทานาเซีย (euthanasia)
2.บาร์บิทูเรต (Barbiturate)

การแพ้ยา

การแพ้ยา



เมื่อคุณรับประทานยาแล้วเกิดผื่น หรือแน่นหน้าอก แสดงว่าคุณอาจจะมีอาการแพ้ยา แต่การเกิดผลข้างเคียงจากยามิใช่หมายความว่าแพ้ยาเสมอไป อาจจะเกิดจากสาเหตุอื่นก็ได้ และผู้ป่วยก็ยังสามารถรับยานั้นได้ แต่ถ้าหากเกิดจากแพ้ยาผู้ป่วยต้องหลีกเลี่ยงยาที่แพ้โดยเด็ดขาด

การแพ้ยาหมายถึงเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้มักจะเกิดอาการหลังรับประทานยา ทันทีหรือไม่เกิน 2 ชั่วโมงอาการที่สำคัญได้แก่

•ผื่นคัน
•คัดจมูก
•หายใจไม่ออก หายใจเสี่ยงดังหวีด
•บวมแขนขา
การที่จะทราบแน่ชัดต้องทำการทดสอบภูมิแพ้ หลังจากที่ทราบชื่อยาที่แพ้แล้วก็จดชื่อยาที่แพ้ไว้กับตัว หรืออาจจะทำป้ายติดไว้กับตัว การรักษาที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงจากยาชนิดนั้นโดยเด็ดขาด ก่อนที่แพทย์จะจ่ายยาต้องบอกแพทย์ทุกครั้งว่าแพ้ยาอะไร ก่อนรับยาจากเภสัชกรต้องถามชื่อยาและบอกว่าแพ้ยาอะไรแก่เภสัชกรเนื่องจากยาชนิดเดียวกัน อาจจะมีหลายชื่อ ผลเสียที่เกิดจากยาอาจจะเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น






•Overdose or toxicity ได้รับยาเกินขนาด เช่นการได้ราปฏิชีวนะรักษาโรคติดเชื้อหากได้ติดต่อกันนานๆอาจจะมีผื่นเกิดขึ้น
•Secondary effects ผลข้างเคียงจากฤทธิ์ของยา เช่นเร่รับประทาน aspirin เพื่อแก้ปวดแต่เกิดเลือดออกง่าย เลือดออกง่ายเป็นผลจากยา aspirin
•Side effects คือผลข้างเคียงของยา เช่นกินยาลดน้ำมูกจะมีอาการปากแห้งใจสั่น นอนไม่หลับ กินยาแก้หอบหืดจะมีอาการมือสั่นใจสั่น กินยาแก้ปวดจะมีอาการปวดท้อง ท่านสามารถอ่านผลข้างเคียงได้จากสลากยาที่กำกับ อาการข้างเคียงไม่จำเป็นต้องเกิดกับทุกคนที่กินยา อาจจะเกิดกับบางคนเท่านั้น
•Drug interactions ท่านหากรับประทานยามากกว่าหนึ่งชนิดท่านต้องทราบว่ายาสองชนิดมีปฏิกิริยาส่งเสริม หรือหักล้างกันหรือไม่ทั้งในแง่ของการรักษาและผลข้างเคียงของยา เช่นรับประทานยาชนิดหนึ่งและเมื่อได้ยาอีกชนิดหนึ่งซึ่งอาจจะส่งผลให้ยานั้นออกฤทธิ์ หรือผลข้างเคียงมากขึ้นและอาจจะเป็นอันตรายแก่ผู้ใช้ยา
•Idiosyncratic reactions เป็นปฏิกิริยาที่เกิดโดยคาดการณ์ไม่ได้ว่าจะเกิดอาการภูมิแพ้หรือไม่
โปรดจำไว้ว่าหากท่านจะรับประทานยาหรือสมุนไพรท่านต้องคำนึงถึงการแพ้ยาทั้งที่เกิดจากปฏิกิริยาภูมิแพ้และจากอย่างอื่น นอกจากนั้นท่านที่รับประทานยามากกว่า สองชนิดต้องระวังว่าอาจจะเกิดผลเสียแก่ตัวท่าน
การเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้

เมื่อร่างกายได้รับสารชนิดหนึ่งเข้าสู่ร่างกาย ทางผิวหนัง ทางรับประทาน ทางลมหายใจ หรือจากการฉีดยา หากร่่งกายรับสารนั้นได้ก็ไม่เกิดผลเสียต่อร่างกาย แต่หากสารนั้นเป็นสารที่ทำให้เกิดภูมิแพ้ก็จะทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย อาจจะรุ่นแรงมากจนทำให้เกิดเสียชีวิตกระทันหัน เรียกว่ายังไม่ได้ถอนเข็มก็เกิดอาการแล้ว หรือบางกรณีอาจจะเกิดปฏิกิริยาภูมิมาในภายหลังโดยที่ตัวคนไข้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไปรับสารใดมาบ้าง ความรุนแรงและความรวดเร็วของการเกิดภูมแพ้ขึ้นชนิดของภูมิแพ้ซึ่งแบ่งออกเป็น

IgE - Mediated Reaction

เมื่อร่างกายได้รับสารภูมิแพ้ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันชนิด IgE ขึ้นเพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอม

•IgE จะจับกับโปรตีนของสารภูมแพ้และเกาะกับผิวของเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เรียกว่า Mast cell
•หลังจากนั้นจะเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ตามมาทำให้เกิดการหลังของสารเคมอีกหลายชนิด histamine heparin Protease Eosinophil chemotactic factor Neutrophil chemotactic factor ,Leucotriene ,prostaglandin
สารต่างๆเหล่านี้จะทำให้เกิดปฏิกิริยาภูมแพ้เฉียบพลันที่เรียกว่า Anaphylaxis ซึ่งมีอาการดังต่อไปนี้

•ลมพิษ
•ความดันโลหิตต่ำ
•คัน
•Angioedema
ตัวอย่างสารที่ทำให้เกิดภูมิแพ้ชนิดนี้

•ยาโดยเฉพาะกลุ่ม pennicillin
•การให้เลือด
•วัคซีน
•ฮอร์โมน
Cytotoxic/Cytolytic Reaction

ร่างกายจะสร้างภูมิชนิด IgG,iGm ,Complement มาจับกับโปรตีนของสารก่อภูมิแพ้ทำให้มีการทำลายของเซลล์โดยเฉพาะเซลล์ของเม็ดเลือดทำให้เกิด การแตกของเม็ดเลือดแดง( Immune hemolytic anemia) เกล็ดเลือดต่ำ(Thromobocytopenia) เม็ดเลือดขาวต่ำ (Granulocytopenia) ตัวอย่างยาที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาชนิดนี้

•pennicillin
•quinidine
•sulfonamide
•methyldopa
Immune Complex Reaction

ภูมิของร่างกายจะรวมกับโปรตีนของสารภูมิแพ้เกิดสารที่เรียกว่า immune complex ซึ่งจะไหลเวียนไปในกระแสเลือด เมื่อimmune complex นี้ไปเกาะที่เส้นเลือดก็จะก่อให้เกิดปฏิกิริยาดังนี้

•เกร็ดเลือดจะมาเกาะรวมกลุ่ม plattlet aggregation
•มีการกระตุ้นเซลล์ Mast cell activation
•มีการกระตุ้น ทำให้เกิด การรั่วของผนังหลอดเลือด{permiability} การหลั่งสารที่ทำให้เกิดการอักเสบ(ทำให้เกิดปวด บวม แดง ร้อน)
อาการของภูมิแพ้ชนิดนี้ได้แก่

•ไข้
•ผื่นที่ผิวหนัง
•ต่อมน้ำเหลืองโต
•ปวดข้อ
•ไตอักเสบ
•ตับอักเสบ
ยาที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ชนิดนี้ได้แก่

•hydralazine ยาลดความดันโลหิต
•procanamide
•isoniazid ยารักษาวัณโรค
•phenyltoin ยากันชัก
T-cell Mediated Reaction

ปฏิกิริยาภูมิแพ้เกิดจากเซลลT-cell์ lymphocyte ถูกกระตุ้นเมื่อได้รับสารภูมิแพ้ อาการที่สำคัญของการเกิดภูมิแพ้ชนิดนี้คือพวกผื่นแพ้ที่เกิดจากการสัมผัส

แพ้ยาทำให้เกิดไข้

ท่านที่เป็นโรคติดเชื้อและซื้อยารับประทาน หลังจากรับประทานไประยะหนึ่งไข้ไม่ลง ซึ่งอาจจะเกิดจากแพยาก็ได้ ยาที่เกิดอาจจะเป็นไข้ต่ำๆตลอด หรือไข้สูงเป็นช่วงๆยาที่มักจะทำให้เกิดไข้คือยากลุ่มปฏิชีวนะ เมื่อหยุดยา 24-48 ชั่วโมงไข้ก็จะลงเอง

ยาที่ทำให้เกิดผลภูมิแพ้ที่ตับ

ปฏิกิริยาภูมิแพ้อาจจะทำให้เกิดการอักเสบของตับ โดยตับจะโตและเจ็บเมื่อเจาะเลือดตรวจจะพบว่ามีค่า SGOT,SGPT สูงและอาจจะมีดีซ่าน ยาที่ทำให้เกิดตับอักเสบที่พบบ่อยได้แก่

•phenotiazine
•sulfonamide
•halathane
•phenyltoin
•Isoniazid
ยาที่ทำให้เกิดโรคปอด

ผู้ป่วยที่ใช้ยาเป็นประจำเช่นยา nitrofurantoin sulfasalaxine นานๆอาจะทำให้เกิดโรคที่ปอด ทำให้เกิด ไข้ ไอ และมีผื่น เมื่อเจาะเลือดพบว่า eosinphil ในเลือดสูง การรักาาให้หยุดยานั้นเสีย

การแพ้ยา penicillin

ยากลุ่ม penicillin เป็นยาที่แพ้ได้บ่อยที่สุด การเกิดภูมิแพ้ได้หลายแบบ IgE,Immune Complex,Cytotoxic เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแพ้ยาpenicillin อาการแพ้มีได้หลายแบบ

•ลมพิษ
•คัน
•ผื่นได้หลายๆแบบ
•แพ้แบบรุนแรงได้แก่ หนังตา ปากบวมที่เรียกว่า angioedema กล่องเสียงบวม(laryngeal edema) หลอดลมเกร็ง()ความดันโลหิตต่ำ
•บางรายผื่นเป็นมากทำให้เกิดลอกทั้งตัวที่เรียกว่า steven johnson syndrome
•ในทางห้องทดลองพบว่าผู้ที่แพ้penicillin สามารถแพ้ยากลุ่ม cephalosporin ดังนั้นหากสามารกเลือกยากลุ่มอื่นได้น่าจะเป็นการปลอดภัย
•การแพ้ยา cephalosporin ก็ไม่จำเป็นต้องแพ้ penicillin
penicillin เมื่อให้ในโรคต่อไปนี้จะทำให้เกิดผื่นได้ง่าย

•ติดเชื้อไวรัสโดยเฉพาะ infectiuos mononucleosis
•,มะเร็งเม็ดเลือดขาว
•กรดยูริกในเลือดสูง
•ให้ยาpenicillin ร่วมกับ allopurinol
แพ้ยา sulfonamide

ยา sulfonamide เป็นยาผสมในยาหลายชนิดได้แก่ ยาปฏิชีวนะ(bactrim) ยาแก้ปวด() ยาขับปัสสาวะ ยาลดน้ำตาลในเลือด

การแพ้ aspirin

อาการของผู้ที่แพ้ aspirin มีได้หลายรูปแบบ

•ผื่นลมพิษ
•angioedema หน้าหนังจาปากบวม
•น้ำมูกไหล
•หลอดลมเกร็งทำให้แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก หากเป็นมากอาจจะมีตัวเขียว ริมฝีปากเขียว
•ความดันโลหิตต่ำ
•ผู้ที่เป็นโรคหอบหืด หรือไซนัสอักเสบจะแพ้ได้ถึงร้อยละ30-40
การรักษาอาการแพ้ยา

สำหรับผู้ทีอาการแพ้เฉียบพลัน

•ให้หยุดยานั้นทันที
•หากมีอาการแพ้รุนแรงแบบ anaphylaxis ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายถึงกับชีวิต ต้องไดรับยา epinephrine
•สำหรับผู้ที่มีผื่นลมพิษหรือ angioedema ให้ยาแก้แพ้รับประทาน
•ให้ยา steroid ชนิดรับประทาน
สำหรับผู้ที่แพ้ไม่เฉียพลัน

•ให้หยุดยาที่สงสัย หลังหยุดยาผื่นอาจจะยังเกิดขึ้นต่อไปได้อีก
•หากผื่นเป็นน้อยให้ยาแก้แพ้ชนิดเดียวก็น่าจะพอ
•สำหรับผู้ที่มีผื่นมากและมีท่าจะเป็นมากขึ้นก็สามารถให้กิน steroid ชนิดกินระยะสั่นๆ
•สำหรับผู้ที่มีการอักเสบของไต serum sickness ปวดข้อ อาจจะต้องให้ยา steroid และยาแก้แพ้รับประทาน
November 9, 2003



แพ้อากาศ อาการของโรคภูมิแพ้ การทดสอบภูมิแพ้ การรักษา ยาที่ใช้รักษาโรคภูมิแพ้ แพ้แบบรุนแรง ลมพิษ แพ้ยาง แพ้อาหาร แพ้แมลง ผื่นแพ้จากการสัมผัส ตาอักเสบจากแพ้ยา

เภสัชกรตัวอย่าง


การใช้อักษรย่อของคำ สัตวแพทย์ สัตวแพทย์หญิง นายสัตวแพทย์


เนื่องจากคำนำหน้านามเกี่ยวกับวิชาชีพสัตวแพทย์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันยังมีความลักลั่น กล่าวคือ คำว่า “นายสัตวแพทย์” มีทั้งที่ใช้อักษรย่อว่า สพ. นสพ. น.สพ. คำว่า “สัตวแพทย์หญิง” มีทั้งที่ใช้อักษรย่อว่า สพญ. สพ.ญ. และโดยที่ราชบัณฑิตยสถานได้เคยกำหนดคำย่อของ นายสัตวแพทย์ ว่า สพ. จึงมีผู้ท้วงติงและให้ข้อมูลเรื่องการใช้อักษรย่อดังกล่าวจากผู้ที่อยู่ในแวดวงวิชาชีพสัตวแพทย์ว่า อักษรย่อ สพ. ใช้กับสัตวแพทย์ทั้งชายและหญิงที่จบประกาศนียบัตร แต่ถ้าเป็นสัตวแพทย์ปริญญาที่เป็นชาย เรียกว่า นายสัตวแพทย์ ใช้อักษรย่อว่า น.สพ. ส่วนสัตวแพทย์หญิง ใช้อักษรย่อว่า สพ.ญ.


ราชบัณฑิตยสถาน โดยคณะกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการใช้ภาษาไทย จึงได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวและได้สอบถามข้อมูลจากกรมปศุสัตว์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อีกทางหนึ่ง ได้ความตรงตามที่มีผู้ทักท้วงมาและเพื่อมิให้การใช้อักษรย่อของคำว่า นายสัตวแพทย์ สัตวแพทย์หญิง และ สัตวแพทย์ มีความลักลั่นและสื่อความหมายได้ไม่ตรงตามข้อเท็จจริง โดยที่หลักเกณฑ์การย่อคำให้ใช้พยัญชนะต้นของแต่ละพยางค์ แล้วรวบจุดหลังพยัญชนะตัวสุดท้ายเพียงจุดเดียว คำ นายแพทย์ แพทย์หญิง จึงย่อว่า นพ. และ พญ. คำว่า ทันตแพทย์ ทันตแพทย์หญิง ย่อว่า ทพ. และ ทพญ. คำว่า เภสัชกร เภสัชกรหญิง ย่อว่า ภก. และ ภกญ. คำว่า เทคนิคการแพทย์ เทคนิคการแพทย์หญิง ย่อว่า ทนพ. และ ทนพญ. คำว่า พยาบาล พยาบาลชาย ย่อว่า พย. และ พยช. ตามลำดับ


คณะกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการใช้ภาษาไทย แห่งราชบัณฑิตยสถาน จึงได้มีมติให้ใช้หลักเกณฑ์เดียวกันนี้ในการย่อคำว่า นายสัตวแพทย์ สัตวแพทย์หญิง และสัตวแพทย์ กล่าวคือ


คำว่า สัตวแพทย์ (สัตวแพทย์ทั้งชายและหญิงที่จบประกาศนียบัตร) ให้ใช้ว่า สพ.
คำว่า นายสัตวแพทย์ (สัตวแพทย์ปริญญาที่เป็นชาย) ให้ใช้ว่า นสพ.
คำว่า สัตวแพทย์หญิง (สัตวแพทย์ปริญญาที่เป็นหญิง) ให้ใช้ว่า สพญ.


เพื่อให้เข้าชุดกับอักษรย่อของคำอื่น ๆ ดังกล่าวข้างต้น การย่อคำว่า นายสัตวแพทย์ แม้ว่าจะไปเหมือนกับการใช้อักษรย่อของคำว่า หนังสือพิมพ์ คือใช้ว่า นสพ. แต่การสื่อความต้องอาศัยบริบทหรือข้อความที่อยู่แวดล้อม ซึ่งจะทำให้ทราบได้ว่าอักษรย่อ นสพ. ในกรณีนั้น ๆ หมายถึงคำใด.

คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต

คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต

บทความนี้ขาดหรือต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิง เพื่อให้พิสูจน์ยืนยันได้ถึงที่มาและความน่าเชื่อถือ คุณสามารถพัฒนาบทความนี้ได้โดยเพิ่มแหล่งอ้างอิงตามสมควร เนื้อหาที่ขาดแหล่งอ้างอิงอาจถูกลบออก
คณะเภสัชศาสตร์
มหาวิทยาลัยรังสิต


ข้อมูลทั่วไป
ชื่อภาษาอังกฤษ Faculty of Pharmacy Rangsit University

วันจัดตั้ง 3 มิถุนายน พ.ศ. 2530

คณบดี รศ.ภญ.ดร.อรพรรณ มาตังคสมบัติ

สีประจำคณะ สีเขียวมะกอก
สถานปฏิบัติการ สถานปฏิบัติการเภสัชกรรมชุมชน

เว็บไซต์ www.rsu.ac.th/pharmacy/


ที่อยู่
52/347 หมู่บ้านเมืองเอก ถนนพหลโยธิน หลักหก ปทุมธานี 12000
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้รับอนุมัติจากทบวงมหาวิทยาลัยให้เปิดดำเนินการสอนหลักสูตรเภสัชศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาเภสัชศาสตร์ได้ตั้งแต่ปีการศึกษา 2530 นับเป็นคณะเภสัชศาสตร์สถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งแรกของประเทศไทย นอกเหนือจากคณะเภสัชศาสตร์ของมหาวิทยาลัยของรัฐ 6 สถาบันในขณะนั้น โดยมี ศ.(พิเศษ)ภญ.ฉวี บุนนาค เป็นคณบดีคนแรกของคณะ (พ.ศ. 2530-2541) คณบดีท่านต่อมาคือ ศ.ภญ.ดร.สสี ปันยารชุน (พ.ศ. 2541-2545) และ รศ.ภญ.ดร.อรพรรณ มาตังคสมบัติ (พ.ศ. 2545-ปัจจุบัน)

โดยนักศึกษาจะศึกษาเพื่อการเป็นเภสัชกรในช่วง 4 ปีแรกของหลักสูตร และศึกษากระบวนวิชาทางเลือก ให้มีความรู้และทักษะเฉพาะทาง ตลอดจนฝึกปฏิบัติงานวิชาชีพในทางเลือกในชั้นปีที่ 5 ต่อมาได้มีการปรับปรุงหลักสูตรอีก 3 ครั้ง คือ หลักสูตรเภสัชศาสตร์ปีการศึกษา 2542 ประกอบด้วย 232 หน่วยกิต (ไตรภาค) หลักสูตรเภสัชศาสตร์ ปีการศึกษา 2544 ประกอบด้วย 186 หน่วยกิต (ทวิภาค) และหลักสูตรเภสัชศาสตร์ ปีการศึกษา 2546 ในปีการศึกษา 2545 คณะเภสัชศาสตร์ได้รับอนุมัติให้เปิดหลักสูตรเภสัชศาสตรมหาบัณฑิต สาขาเภสัชศาสตร์ขึ้นอีก 1 หลักสูตร

คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้ผลิตเภสัชกรรุ่นแรกออกไปในปี 2535 จำนวน 41 คน จนถึงปัจจุบันได้ผลิตเภสัชกรไปแล้วรวม 19 รุ่น



กลุ่มวิชา
กลุ่มวิชาบริหารเภสัชกิจ
กลุ่มวิชาเภสัชอุตสาหกรรม
กลุ่มวิชาเภสัชเคมีวิเคราะห์
กลุ่มวิชาเภสัชเวทและตัวยา
กลุ่มวิชาเภสัชกรรมเทคโนโลยี
กลุ่มวิชาเภสัชกรรมคลินิกและชีวเภสัชศาสตร์
หลักสูตร
เปิดสอนในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท
1. หลักสูตรปริญญาตรี
ในปีการศึกษา 2552 เป็นต้นไป ได้มีการปรับปรุงหลักสูตรจากเดิมที่ใช้เวลาศึกษา 5 ปี (เภสัชศาสตรบัณฑิต) เปลี่ยนเป็น 6 ปี (หลักสูตรบริบาลเภสัชกรรม) ดังนั้นตั้งแต่ปีการศึกษา 2552 เป็นต้นไป จะมีนักศึกษา 2 หลักสูตร เมื่อผลิตนักศึกษารหัส 51 จบหลักสูตร(5ปี)แล้ว หลักสูตรการศึกษาก็จะเหลือเพียงหลักสูตรเดียวคือ หลักสูตรเภสัชศาสตรบัณฑิต สาขาการบริบาลทางเภสัชกรรม

1.1 หลักสูตรเภสัชศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาเภสัชศาสตร์ (Bachelor of Pharmacy Program)
นักศึกษารหัส 51 (เข้าเรียนปี 2551) จะเป็นรุ่นสุดท้ายของหลักสูตรนี้

ชื่อปริญญา

ชื่อเต็ม (ภาษาไทย): เภสัชศาสตรบัณฑิต
ชื่อเต็ม (ภาษาอังกฤษ): Bachelor of Pharmacy
อักษรย่อ (ภาษาไทย): ภ.บ.
อักษรย่อ (ภาษาอังกฤษ): B.Pharm.
1.2 หลักสูตรเภสัชศาสตรบัณฑิต สาขาการบริบาลทางเภสัชกรรม (Doctor of Pharmacy Program)
จะเปิดสอนในปีการศึกษา 2552 เป็นต้นไป

ชื่อปริญญา

ชื่อเต็ม (ภาษาไทย): เภสัชศาสตรบัณฑิต (การบริบาลทางเภสัชกรรม)
ชื่อเต็ม (ภาษาอังกฤษ): Doctor of Pharmacy (Pharmaceutical Care)
อักษรย่อ (ภาษาไทย): ภ.บ.(การบริบาลทางเภสัชกรรม)
อักษรย่อ (ภาษาอังกฤษ): Pharm.D. (Pharm.Care)
2. หลักสูตรปริญญาโท
เปิดหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาชีวเภสัชกรรม
: M.Sc.(Biopharmacy)
โดยมุ่งเน้นผลิตบุคลากรทางด้านชีวเภสัชกรรม เพื่อการสอน การวิจัยและการบริการทางวิชาการ ที่เป็นประโยชน์ต่องานสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น

แนวข้อสอบเข้าเภสัชกร

แนวข้อสอบเข้า เภสัช รอบแรก
1.ไทย เน้นหลักภาษามากๆมีครบเกือบทุกส่วนค่อนข้างครอบ คลุม ความยากบางข้อประมาณ โอเน็ท บางข้อก็ เอเน็ท ทักษะสัมพันธ์แทบจะไม่มี 2.สังคม-เน้นครบทุกสาระการเรียน ศาสนา สังคมหน้าที่พลเมือง เศรษฐกิจ กฎหมาย(ทำสัญญา 50 บาทup นะครับ) ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์+สถานการณ์ปัจจุบันบางข้อ เช่น เลขา ยูเอ็น ตอบนาย บันคีมุน ไข้หวัดนก ตอบข้อ 4 อุปสงค์เนื้อเป็ดหน่ะ เอาแค่นี้ก่อน 3.อังกฤษ เน้นศัพท์มากๆๆๆใน เรื่องแรกcloze test (president of america) และใน reading passage สามเรื่องก่อนสุดท้าย เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโรคทางการแพทย์ 2 บท 1.การหาว(yawning) และ เรื่องโรคที่กล่าวไว้ว่า จะทำให้ blood cell ลดลง โดยเฉพาะในการย่อยอาหาร เพราะ nautrifil blood cell ลดลง ทำให้การย่อยทำงานไม่เต็มที่ และ เรื่องการใช้งานเกี่ยวกับ optic fiber 1 บท ส่วนอันอื่นก็เป็นการช่วย เป็นโฆษณากรอบเล็กๆ และ conversation 4.ฟิสิกส์ เรื่องที่นำมาออก 1.การเคลื่อนที่ใน 1 มิติ 2.แรง มวล การเคลื่อนที่ 3.การเคลื่อนที่เชิงมุม 4.การเคลื่อนที่ 2 มิติ 5.ไฟฟ้ากระแส 6.แม่เหล็กไฟฟ้า 7.ดอล์ปเปอร์ 8.แสงและการมองเห็น 9.แรงดัน+แรงลอยตัว 10.งานและกฎทรงมวล 11.ครึ่งชีวิต เอาคร่าวๆแค่นี้ก่อน 5.คณิตศาสตร์ เรื่องที่ออก 1.เซต 2.ตรรกศาสตร์ 3.จำนวนจริง 4.เมตริกซ์ 5.det 6.diff 7.สถิติ 8.เลขยกกำลัง 9.log 10.ตรีโกณ 11.ภาคตัดกรวย 12.เรียง สับเปลี่ยนหมู่ 13.เรขาคณิต วิเคราะห์ 14.คอมโพสิท ฟังก์ชัน 15.ฟังก์ชัน ประมาณนี้ครับ .................................... ข้อสอบรอบนี้ ยาก มากๆ เพื่อนที่สอบรอบแรกยังบอกว่ารอบนี้ยากกว่ารอบแร กอีก คณิต+ฟิสิกส์ ไม่ยากถ้าจำสูตรได้ (แต่เราจำม่ะได้อ่า อิอิ) ไทย+สังคม ก้อ ออกทั่วๆไป แต่อังกฤษ passage อ่านจนตาลาย แถมแปลไม่ออกอีก เหอะๆ ................................................................................................ ได้ข่าวมาว่า ฟิสิกส์ข้อ 22 เรื่องการสลายตัวง่ะ เหนเค้าว่าไม่มีคำตอบอ่ะ ช้อย ข. กะ ง. เหมือนกัน .................................................................................................... ข้อ 22 วิชา ฟิสิกส์ ไม่มีคำตอบที่จริงแล้วคำตอบน่าจะประมาณ ข้อ 4 ดูตามสเกลของคำตอบที่ไล่มาตั้งแต่ข้อ 1 จะลง ข้อ 4พอดี สรุป คือข้อนี้ ทุกคนได้คะแนน ปล.แต่ก็อย่าลืมนะครับว่าเราได้คะแนนคนอื่นเค้าก็ได้ เหมือนกัน จบแค่นี้ครับ .................................................................................................. รายละเอียดในแต่ละวิชา ชีววิทยา 75 ข้อ เนื้อหาค่อนข้างครอบคลุม แต่ส่วนที่ต่างออกไปจากการสอบในที่ต่างๆ ก็เป็นเช่นที่พี่ๆบอก คือ อาจารย์ท่านพยายามยัด "ศัพท์เฉพาะ" ลงทุกกระเบียดที่จะจับใส่ลงไปได้ มีบางข้อที่ไม่ได้ใช้ศัพท์เฉพาะเพราะเรื่องนั้นต้องใ ช้ภาษาไทยในการอธิบาบย เนื้อหาที่ออก 1.สิ่งมีชีวิตกับสภาวะแวดล้อม อันนนี้มีเรื่องวัฏจักรเข้ามา ,herbivorous,lichens,food chain 2.หน่วยของสิ่งมีชีวิต อันนี้มีทั้งออกตรงๆและแฝงอยู่ในข้ออื่นบางข้อ ส่วนมากถามหน้าที่ของเซลล์และหน้าที่ของส่วนประกอบย่ อยภายในเซลล์ อันนี้เยอะพิมพ์ไม่ไหว 3.ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต วิชาชีววิทยา ถ้าขาดเรื่องนี้ไปก้ไม่ใช่ชีวะว่ามั้ยครับ อาจารย์ท่านก็ให้เราท่องตลอด นักเรียนจำไว้นะจ๊ะว่าต้อง "คิงดอมมมมม ไฟล่ามมม คลาสสสส ออเด้ออ แฟมมิลี่ลลลล จีนัสซซ สปีชี่ชี่ชชชชช" อิอิ เรื่องนี้ออกทั้งเรื่อง พืชและสัตว์ ส่วนนี้ไม่ยากเกินไป(ถ้าจำได้) มีประมาณ 4 ข้อ 4.สารอาหารกับการดำรงชีวิต มีทั้งที่ถามในเรื่องนี้ตรงๆและนำไปใช้ตั้งคำถามร่วม ในข้ออื่นๆ เรื่องนี้ ถ้าตรงๆ ประมาณ 2 ข้อ นำไปถามร่วม ประมาณ 2 ข้อ 5.การย่อยอาหาร มีประมาณ 3 ข้อ ไม่นำไปเกี่ยวกับข้ออื่น 6.การลำเลียงสารในร่างกาย ออกทั้งในคนและสัตว์ ไม่แน่ใจจำนวนข้อ ประมาณ 5 ข้อ 7.การรักษาสมดุลของร่างกาย ส่วนมากเน้นถามเกี่ยวกับการกรองและขับถ่ายของเสียของ ไต วันนี้พี่ไตเค้าเป็นพระเอกเรื่องนี้ รวมๆประมาณ 4 ข้อ 8.พลังงานในสิ่งมีชีวิต อันนี้ไม่ออกตรงจะนำไปรวมเรื่องต่างๆหลายข้อ 9.การหายใจของสิ่งมีชีวิต เรื่องออกเป็นเหมือนตัวช่วย ที่ตรงๆ 1 ข้อถ้วน ตอบ ข้อ 1 อ๊อกซิเจน 10.การสังเคราะห้ด้วยแสง เรื่องไม่เน้นในภาพรวม แต่จะเน้นบ่งชี้เฉพาะหลักการทำของแต่ละส่วนของพืชว่า ส่วนนี้ทำอะไร หรือสิ่งนี้ส่วนไหนทำ ออกประมาณ 3 ข้อ ไม่แน่ใจ 11.การสืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต เน้นหน้าที่ของอวัยวะแต่ละส่วนว่าทำงานอย่างไร แต่ไม่ออกของสัตว์ มีเฉพาะของพืชและคน และที่สำคัญ พระเอกของเรื่องนี้คือพี่ mitosis และ meiosis เหมือนเดิม 12.การเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิต ถามเรื่องเนื้อเยื่อชั้นต่างๆ 2 ข้อ 1.spinal cord (กระดูกสันหลัง) ตอบ ข้อ 2 mesoderm 2.ข้อไหน อยู่ในชั้น mesoderm อนนี้ ตอบ ข้อ 3. kidney(ไต) ส่วนที่เกี่ยวแต่ไม่ชัดมีอีก 1 ข้อ รวมประมาณ 3 ข้อ 13.ระบบประสาทและอวัยวะรับสัมผัส นี่คือพระเอกตัวจริงของวันนี้ เพราะอาจารย์ท่านจับมาไว้ตั้งแต่ข้อต้นๆ กลางๆ แถมตอนท้ายๆก็ยังเจออีก แต่ก็เป็นธรรมดาเพราะเรื่องนี้ศัพท์เฉพาะเยอะ แถมเรื่องให้ถามก็แยะ เอาเป็นว่ารวมๆประมาณ 9-10 ข้อส่วนมากจะถามเกี่ยวกับหน้าที่ของอวัยวะ และถามว่าหน้าที่นี้ส่วนไหนทำ อืม ประมาณนี้ 14.ฮอร์โมน ออกตรงๆประมาณ 3 ข้อ และนำไปโยงเรื่องการขับถ่ย และอาการแพ้(alleganic) อีก 2 ข้อ 15.การเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิต ออกเฉพาะของคนและสัตว์ประมาณ 2-3 ข้อ 16.พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต ออก FAP : fix action pattern ตอบ 1.innate และก็ข้อใดไม่ใช่พฤติกรรมสัตว์ในทะเลทราย ตอบ ข้อ 3.หากินตอนกลางวัน อืมประมาณนี้ 17.การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ถามลักษณะจีโนไทป์มา 1 ข้อ ตอบ 4.ถูกทุกข้อ 2.โรคทางพันธุกรรมที่เกิดแล้วเม็ดขาวมากเกินเกิดในอว ัยวะใด ตอบ 4.plasma(น้ำเลือด) และเรื่องที่ออกมากที่สุด บทนี้ก็ต้อง dna rna nitrogenous base ส่วนประกอบ dna การ translation และลำดับร่วม ของ dna และ rna ตอบ 1.AAGGCC เพราะไม่ใช้ UและTร่วมกัน ประมาณนี้ 18.วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต เรื่องพลิกโผนึกว่าจะออกไม่มาก แต่ออก 4 ข้อ ถามทฤษฎีของดาร์วิน เป็นหลัก และมีพัฒนาการของมนุษย์ Australopithecus afarensis ว่าส่วนไหนพัฒนาลำดับแรก ตอบ 1.สมองใหญ่ และถามว่ายุคใดที่มนุษย์เกิดขึ้นครั้งแรก ตอบ ข้อ 3.มหายุค paleosoic และถามว่า ยีราฟมีวิวัฒนาการอย่างไร เรื่องนี้รวมๆประมาณนี้ ส่วนที่เหลือก็จะเป็นหลายเรื่องถามคาบเกี่ยวในข้อเดี ยวกัน ต้องความและนึกที่เราอ่านมาให้ออกแต่ถ้าไม่ได้อ่านมา หรืออ่านมาไม่ตรงก็จิ้มและกาลงไป และผ่านไปข้อต่อไป เท่าที่พอจำได้ก็ประมาณนี้ครับ คงเป็นประโยชน์สำหรับใครหลายๆคนนะครับ .............................................................................................................. เคมี มีทั้งออกเป็นถามความจำ คำนวณ และถูกผิด โดยรวมผมว่ายากใช้ได้ทีเดียว เรื่องที่นำมาออกสอบ 1.อะตอมและตารางธาตุ ถามแบบจำลองอะตอมรัทเทอร์ฟอร์ด 1 ข้อเป็นแบบผิดถูก ตารางธาตุและเลขอะตอม มีตั้งแต่ส่วนแรก กลาง และท้ายทั้งตรงๆและรวมอยู่กับข้ออื่น การจัดเรียงอะตอม สมบัติตามคาบ หมู่ IE EA การจัดเรียงอะตอม จุดเดือดจุดหลอมเหลว ประมาณนี้ 2.พันธะเคมี รูปร่างโมเลกุล โมเลกุลโคเวเลนซ์ พลังงานของปฏิกิริยา แรงยึดเหนี่ยว สารประกอบไออนิก พันธะโลหะ พันธะโคเวเลนซ์กับโครงผลึกร่างตาข่าย ออกรวมกัน ทั้งตรงๆและรวมกับเรื่องอื่น 3.สมบัติของธาตุและสารประกอบ สมบัติของสารประกอบของธาตุตามคาบ สารประกอบ oxide cloride ปฏิกิริยาธาตุหมู่ 1A 2A 7A ธาตุกัมมันตภาพรังสี ครึ่งชีวิต ธาตุและสารประกอบในสิ่งแวดล้อม 4.ขาดไม่ได้ ปริมาณสารสัมพันธ์ มวลอะตอม มวลโมเลกุล จำนวนของธาตุ ไอออน และสารประกอบ ความเข้มข้นของสารละลาย จุดเดือดและจุดเยือกแข็งของสารละลาย สูตรอย่างง่ายเอมพิริคัล และสูตรโมเลกุล การหาร้อยละโดยมวลของธาตุที่เป็นสารประกอบ การหาปริมาณสารจากสมการเคมี การหาขนาดปริมาตรของอะตอม ทุกส่วนที่กล่าวมามีข้อเดียวที่ใช้สูตรเดียวแล้วได้ค ำตอบ ส่วนมาก 2 สูตรแล้วตอบ และมี 1 ข้อ 4 ขั้นตอนแล้วถึงได้คำตอบ 5.ของแข็ง ของเหลว ก๊าซ พระเอกก็คือ ก๊าซ มีทั้งให้หาปริมาตร ทฤษฎีจลน์ของก๊าซ และกฏความดันย่อยของดอลตัน ของเหลวก็ออกแต่เป็นถามความจำเรื่อง การลดปริมาตร ความหนืด ความดันไอของของเหลว ส่วนของแข็งถามความจำในเรื่องตัวทำละลายของของเ หลว การดูด คายพลังงาน ส่วนมากถามความจำ ยกเว้นก๊าซ 6.อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี การหาอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีที่ได้จากการทดล อง การอธิบายการเกิดปฏิกิริยาเคมีโดยใช้ทฤษฎีการชนของอน ุภาค เรื่องกราฟแสดงระดับพลังงานในสภาวะการก่อกัมมัน ต์ เรื่องออกน้อยเรื่องแต่ยาก ต้องตีโจทย์ให้ออกและนำมาวิเคราะห์ และที่สำคัญเรื่องกราฟต้องเข้าใจไม่งั้นเดาอย่างเดีย ว 7.สมดุลเคมี เรื่องนี้เกี่ยวพันไปหลายเรื่อง แต่ที่ต้องเข้าใจคือ ภาวะสมดุล การเขียนค่าคงที่สมดุล(K) สมบัติของค่าคงที่สมดุล กราฟเกี่ยวกับสมดุลเคมี หลักของเลอชาเตอริเยร์(สำคัญมากต้องเข้าใจสัญลักษณ์) สุดท้าย

บทนำสู่เภสัชศาสตร์

บทนำสู่วิชาเภสัชศาสตร์ (Introduction to Pharmacy)

“ยา” เป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ อันแสดงถึงความสำคัญและจำเป็นต่อการดำรงชีพ และสำคัญจนกระทั่งมีพระโพธิ ด้านการปรุงยาเลยทีเดียว นามว่า “พระไภษัชยคุรุประภาตถาคต” ทรงถือหม้อยาในพระหัตถ์ สะท้อนถึงความเก่าแก่ของวิชาเภสัชศาสตร์นับพันปี แต่องค์ความรู้ด้านเภสัชศาสตร์นั้น ไม่ได้หยุดนิ่ง หรือดูโบราณ หรือไม่ทันสมัย แต่กลับพัฒนาตามโลกและโรคตลอดเวลา นับเป็นศาสตร์หนึ่งที่มีคุณอนันต์ต่อมวลมนุษยชาติ และก็ได้พัฒนาไปพร้อมๆกับศาสตร์ในโลกนี้อีกหลายสาขา จวบจนปัจจุบัน เภสัชศาสตร์ นับว่าเป็นศาสตร์หนึ่งที่มีคุณอนันต์ต่อมวลมนุษยชาติ

คณะเภสัชศาสตร์ คงเป็นคณะที่น้องๆหลายคนใฝ่ฝันอยากเข้า หลายคนอาจคิดว่ารู้แล้ว ว่า เภสัชเรียนเกี่ยวกับอะไร แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า แท้จริงแล้ว เภสัชศาสตร์ เรียนเกี่ยวกับอะไรกันแน่

นิยามของวิชาเภสัชศาสตร์ (Definition of Pharmacy)



คำว่า “เภสัชศาสตร์” ก็มาจากคำว่า “เภสัช” ซึ่งแปลว่า “ยา” และ “ศาสตร์” ซึ่งหมายถึง “ความรู้” ส่วนคำว่า “Pharmacy” มาจาก “Pharmakon” ซึ่งแปลว่า “ยา” ดังนั้น เภสัชศาสตร์ จึงหมายถึง ความรู้ในเรื่องยา หรือ การศึกษาเกี่ยวกับยา

ขอบเขตของวิชาเภสัชศาสตร์ (Scope of Pharmacy)

การศึกษาเกี่ยวกับยานั้น เราศึกษาตั้งแต่ แหล่งของยา โครงสร้างทางเคมีของยา การผลิตเป็นรูปแบบยาเตรียมต่างๆ การควบคุมคุณภาพและการประกันคุณภาพยาและเภสัชภัณฑ์ การวิจัยและการพัฒนายาและเภสัชภัณฑ์ ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา เภสัชจลนศาสตร์ เภสัชพลศาสตร์ การใช้ยาทางคลินิกในโรคของระบบต่างๆ อาการไม่พึงประสงค์ของยา การติดตามผลของยา การประเมินการใช้ยา ไปจนถึงการบริหารจัดการเรื่องยาและกฎหมายเกี่ยวกับยา

ดังนั้น เภสัชศาสตร์ จึงเป็นวิชาที่เป็นสหสาขาวิชา คือ บูรณาการหลายๆศาสตร์เข้าด้วยกัน แต่มุ่งไปยังเรื่องของ “ยา”


แต่ในปัจจุบัน ขอบเขตของเภสัชศาสตร์ครอบคลุมในเรื่องยา เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สารพิษ สารเสพติดและสารออกฤทธิ์ต่างๆ กล่าวโดยสรุป เภสัชศาสตร์ ก็คือการศึกษาเกี่ยวกับสารเคมีใดๆที่มีผลต่อร่างกายมนุษย์ (และ ) และการใช้สารเคมีเหล่านั้นกับร่างกายเพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ (โดยเฉพาะ ในทางการแพทย์)

สาขาของวิชาเภสัชศาสตร์ (Fields of Pharmacy)


1. กลุ่มวิชาบริบาลเภสัชกรรม (Pharmaceutical Care) :

1.1 สาขาวิชาเภสัชกรรมคลินิกและเภสัชกรรมโรงพยาบาล (Clinical Pharmacy and Hospital Pharmacy)



เภสัชกรรมคลินิก เป็นการศึกษาเกี่ยวกับโรคต่างๆและการรักษา ตั้งแต่พยาธิกำเนิด พยาธิสภาพ อาการและอาการแสดง การดำเนินของโรค ระบาดวิทยา ปัจจัยก่อโรค ปัจจัยส่งเสริม การวินิจฉัยและการรักษา ทั้งแบบใช้ยาและไม่ใช้ยา

เภสัชกรคลินิกจะดูแลการใช้ยาในผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่การออกแบบการบริหารยา (ชนิดตัวยา รูปแบบยา ขนาดยา ทางของการให้ยา) การประเมินการใช้ยา การค้นหาปัญหาที่เกี่ยวกับยา เช่น จ่ายยาเกินความจำเป็น ขนาดยาต่ำเกิน ขนาดยาสูงเกิน เป็นต้น การติดตามอาการไม่พึงประสงค์ เช่น อันตรกิริยาของยา ผลข้างเคียงของยา การแพ้ยา และการปรับขนาดยาในผู้ป่วยในสภาวะต่างๆ เช่น ผู้ป่วยโรคตับหรือไต เด็ก ผู้สูงอายุ หญิงมีครรภ์และให้นมบุตร ซึ่งต้องใช้ความรู้ทางด้านเภสัชจลนศาสตร์ คือ การดูดซึมยา การกระจายยา การแปรสภาพยา และการขับยา รวมทั้งความรู้ทางเภสัชพลศาสตร์ คือ กลไกการออกฤทธิ์ของยา


ในปัจจุบัน มีหลายมหาวิทยาลัยเปิดหลักสูตร 6 ปี เรียกว่า “Doctor of Pharmacy” หรือ “ห-ม-อ-ย-า” นั่นเอง โดยจะมีการราวด์วอร์ดร่วมกับบุคลากรทางการแพทย์อื่นๆ โดยเภสัชกรเป็นหนึ่งในทีมสหสาขาวิชาชีพทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ (Health Care Team) ดูแลผู้ป่วยในเรื่องยาอย่างใกล้ชิด

ส่วนเภสัชกรรมโรงพยาบาล เป็นการพูดรวมไปถึงระบบการกระจายยาในโรงพยาบาล ซึ่งก็คืองานการจ่ายยาแก่ผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก รวมทั้งงานการบริหารคลังเวชภัณฑ์ด้วย


1.2 สาขาวิชาเภสัชกรรมชุมชม (Community Pharmacy)


เภสัชกรรมชุมชน ก็คือ ร้านยา นั่นเอง เภสัชกรชุมชน นอกจากจำหน่ายยาแล้ว ยังต้องทำการซักประวัติ การวินิจฉัยโรคเบื้องต้น การเลือกใช้ยาและขนาดที่เหมาะสม แนะนำวิธีการใช้ยา นอกจากนี้ ยังมีการให้คำปรึกษาเรื่องยาและสุขภาพ รวมทั้งต้องมีความรู้ทางด้านการบริหารจัดการร้านยาในเชิงธุรกิจอีกด้วย



1.3 สาขาวิชาเภสัชสาธารณสุข (Pharmacy Public Health)



เภสัชสาธารณสุข เป็นการประยุกต์ความรู้ทางสาธารณสุขศาสตร์มาใช้ในงานทางเภสัชกรรม เช่น ระบบยา นโยบายแห่งชาติด้านยา พฤติกรรมสุขภาพ งานสาธารณสุขชุมชน การบูรณาการองค์ความรู้ทางสังคมวิทยา มานุษยวิทยา ความคิด ความเชื่อ ทัศนคติ มาใช้ในงานเภสัชสาธารณสุข เช่น พฤติกรรมการใช้ยาของกลุ่มประชากรที่มีความแตกต่างเรื่องเพศ อายุ เชื้อชาติ ฐานะทางเศรษฐกิจ-สังคม การใช้ยาในทางที่ผิดของวัยรุ่น เช่น การใช้ยาแก้ไอที่มีโคเดอีนมาเสพเป็นยาเสพติด เป็นต้น รวมทั้งการใช้ความรู้ทางเภสัชระบาดวิทยาและเภสัชเศรษฐศาสตร์มาช่วยในการศึกษาและจัดการปัญหาทางสาธารณสุขที่เกี่ยวกับยาและการใช้ยาของประชาชนด้วย



เภสัชกรสาธารณสุขในหน่วยงานทางสาธารณสุข เช่น สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และกระทรวงสาธารณสุข ทำงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสาธารณสุข การขึ้นทะเบียนยาและสถานประกอบการ ควบคุมการจำหน่ายยา และควบคุมดูแลการทำงานของเภสัชกร


2. กลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์เภสัชกรรม (Pharmaceutical Science) :



2.1 สาขาวิชาเภสัชเวท (Pharmacognosy)
เภสัชเวท เป็นการศึกษาตัวยาและสารช่วยทางเภสัชกรรมจากแหล่งธรรมชาติ ทั้งพืช จุลินทรีย์ และแร่ธาตุ แหล่ง เช่น น้ำผึ้ง นมผึ้ง เกสรผึ้ง น้ำมันตับปลา หมู วัว แหล่งจุลินทรีย์ เช่น ยีสต์ แบคทีเรีย แหล่งแร่ธาตุ เช่น Aluminium, Magnesium, Clay, Bentonite รวมทั้งพวกสาหร่าย เห็ด รา ด้วย เปลือกสนสกัด สารสกัดเมล็ดองุ่น สารสกัดจากปลาทะเลน้ำลึก อะไรทำนองนี้ รวมทั้ง การใช้เทคโนโลยีชีวภาพมาใช้ในการผลิตตัวยาด้วย เช่น การหมักจุลินทรีย์ การเพาะเลี้ยงเซลล์พืชและเซลล์ พันธุวิศวกรรม เป็นต้น



2.2 สาขาวิชาเภสัชเคมี (Pharmaceutical Chemistry)

เภสัชเคมี ก็คือ เคมีของยา ยาก็คือ สารเคมี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสารอินทรีย์ จึงมีโครงสร้างเป็นวงเป็นเหลี่ยมเป็นกิ่งก้านสาขา บางชนิดมีโครงสร้างง่ายๆ แต่บางชนิดก็มีโครงสร้างซับซ้อน อย่างที่น้องหลายคนคงเคยเห็น การตัดหมู่ฟังก์ชันบางตำแหน่งออก การเพิ่มหรือเปลี่ยนหมู่ฟังก์ชัน จะมีผลต่อเภสัชพลศาสตร์และเภสัชจลนศาสตร์ของยา รวมทั้งคุณสมบัติทางเคมีกายภาพของยาด้วย ซึ่งจะมีผลต่อการตั้งสูตรตำรับ โดยเราสามารถใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้เหล่านี้ในการวิจัยและการพัฒนายาโดยการปรับปรุงโครงสร้างของยา และการออกแบบยาเพื่อให้มีโครงสร้างที่เหมาะสมต่อการออกฤทธิ์ที่จำเพาะมากขึ้น

2.3 สาขาวิชาเภสัชวิเคราะห์ (Pharmaceutical Analysis)


เภสัชวิเคราะห์ ก็คือ วิชาการวิเคราะห์ยา น่ะแหละ เป็นการหาปริมาณยาและสารปนเปื้อน โดยใช้วิธีการทางเคมีต่างๆ เช่น การวิเคราะห์เชิงน้ำหนัก การวิเคราะห์เชิงปริมาตรหรือการไทเทรต (กรด-เบส, สารเชิงซ้อน, รีด็อกซ์ ) การวิเคราะห์เชิงไฟฟ้า (Potentiometry, Voltametry, Polarography) การวิเคราะห์เชิงแสง (Polarimetry, Turbidimetry, Nephelometry) สเป็คโทรโฟโทเมตริ (UV, IR, NMR, MS) โครมาโทกราฟี่ (HPLC, GC, TLC) โอย.... สารพัด ทำงานในฝ่ายควบคุมคุณภาพในโรงงานยา ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ หรือกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และอาจได้เป็นพยานในศาลด้วย เพราะฉะนั้น วิเคราะห์ให้ดีล่ะ ไม่งั้นฝ่ายตรงข้ามจะหาจุดผิดพลาดของเราพลิกคดีได้



2.4 สาขาวิชาเทคโนโลยีเภสัชกรรม (Pharmaceutical Technology)


เทคโนโลยีเภสัชกรรม ก็คือวิชาการผลิตยานั่นเอง ถ้าเราลองสังเกตยาแต่ละชนิด จะเห็นความแตกต่างในหลายรูปแบบ แต่พี่เชื่อเลยว่า น้องคงเคยเห็นไม่กี่แบบ หรือนึกได้ ไม่กี่ชนิด แต่ความจริงแล้ว ยามีหลายรูปแบบมาก เช่น ยารูปแบบของแข็ง (ยาเม็ด ยาแคปซูล ยาผง ยาแกรนูล ยาเหน็บ) ยารูปแบบของเหลว ( อโรมาติกวอเตอร์ สปิริต อิลิกเซอร์ ยาน้ำเชื่อม ยาน้ำอิมัลชัน ยาน้ำแขวนตะกอน) ยารูปแบบกึ่งแข็ง (ยาขี้ผึ้ง ครีม เพสต์ เจล) ยารูปแบบไร้เชื้อ (ยาฉีด ยาฝัง ยาตา ผลิตภัณฑ์ชีวภาพ เช่น ฮอร์โมน วัคซีน เซรุ่ม สารอาหารที่ให้ทางหลอดเลือด) ยารูปแบบพิเศษ (ยากัมมันตรังสี ยาแอโรโซล ยาแผ่นแปะ ระบบการนำส่งยาแบบต่างๆ) ซึ่งในการผลิตยา ต้องใช้ความรู้หลายสาขา ทั้งชีววิทยา เคมี ฟิสิกส์ และเครื่องจักรกล มาใช้ในกระบวนการออกแบบยา การประดิษฐ์ยา การพัฒนานวัตกรรมทางยา และกระบวนการผลิตยา

3. กลุ่มวิชาเภสัชกรรมสังคม (Social Pharmacy) :



3.1 สาขาวิชาการบริหารเภสัชกิจ (Pharmacy Administration)



การบริหารเภสัชกิจ เป็นการศึกษาเกี่ยวกับการบริหาร การจัดการ พฤติกรรมองค์กร การตลาด และการประยุกต์มาใช้ในงานทางเภสัชกรรม ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล ร้านยา บริษัทยา โรงงานยา ศูนย์วิจัย ห้องปฏิบัติการ หรือหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง จริงๆแล้ว เภสัชกรทุกสาขาก็ต้องใช้ความรู้นี้ แต่ตรงตัวเลยก็คือ เภสัชกรการตลาดในบริษัทยาต่างๆ



3.2 สาขาวิชานิติเภสัชศาสตร์ (Forensic Pharmacy)



นิติเภสัชศาสตร์ เป็นการศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับงานทางเภสัชกรรมและเภสัชกรทุกสาขา เช่น กฎหมายวิชาชีพเภสัชกรรม กฎหมายยา กฎหมายวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท กฎหมายยาเสพติด กฎหมายเครื่องสำอาง เป็นต้น และในกระบวนวิชานี้ ยังกล่าวถึงจรรยาบรรณวิชาชีพเภสัชกรรม ซึ่งเป็นการศึกษาจริยธรรมในการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมทุกสาขา




4. กลุ่มวิชาเภสัชวิทยาและพิษวิทยา (Pharmacology and Toxicology) :



4.1 เภสัชวิทยา (Pharmacology)


เภสัชวิทยา เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างยากับร่างกายทั้งในเชิงวิทยาศาสตร์และเชิงคลินิก โดยมีการศึกษาใน 2 ลักษณะ คือ เภสัชจลนศาสตร์และเภสัชพลศาสตร์ เภสัชจลนศาสตร์เป็นการศึกษาว่าร่างกายทำอะไรกับยา ได้แก่ การดูดซึมยา การกระจายยา การแปรสภาพยา และการขับยา ส่วนเภสัชพลศาสตร์ เป็นการศึกษาว่ายาทำอะไรกับร่างกาย ซึ่งก็คือกลไกการออกฤทธิ์ของยานั่นเอง เช่น การออกฤทธิ์ผ่านทางรีเซปเตอร์, การยับยั้งเอ็นไซม์ เป็นต้น
4.2 พิษวิทยา (Toxicology)



พิษวิทยา เป็นการศึกษาเกี่ยวกับสารพิษชนิดต่างๆ ทั้งสารพิษในธรรมชาติและสารเคมีสังเคราะห์ ยาในขนาดที่เป็นพิษ ลักษณะความเป็นพิษต่อร่างกายในระบบต่างๆ กลไกการเกิดพิษ อาการพิษและการรักษา รวมทั้งศึกษาการใช้ ทดลองในการทดลองทางพิษวิทยาด้วย


4.3 ชีวเภสัชศาสตร์ (Biopharmaceutics)
ชีวเภสัชศาสตร์ เป็นการศึกษาประสิทธิภาพของการใช้ยากับร่างกาย โดยศึกษาผ่านทางชีวประสิทธิผลและชีวสมมูล ชีวประสิทธิผล คือ การศึกษาการดูดซึมของตัวยาเข้าสู่ระบบหมุนเวียนโลหิตเทียบกับปริมาณยาที่ให้ไป ส่วนชีวสมมูล คือการศึกษาเปรียบเทียบการละลายออกของตัวยาจากผลิตภัณฑ์ยาตัวอย่างเทียบกับผลิตภัณฑ์ยาต้นแบบ ซึ่งตัวยาเดียวกันก็อาจมีการละลายตัวยาออกจากผลิตภัณฑ์ในอัตราต่างกันก็ได้ ขึ้นอยู่กับการตั้งสูตรตำรับและกระบวนการผลิต




บทสรุป



น้องจะเห็นว่า การเรียนเภสัชนั้น เป็นการบูรณาการหลายศาสตร์เข้าด้วยกันเพื่อการศึกษาเรื่องของ “ยา” เราจึงไม่ได้รู้อย่างเป็ดเหมือนที่บางคนพูด แต่เราคือผู้เชี่ยวชาญเรื่องยาครับ อย่างคนที่เรียนเน้นมาทางด้านเทคโนโลยีเภสัชกรรม เค้าก็ต้องเชี่ยวชาญด้านการผลิตยา ใช่มั๊ยครับ ? หรือคนที่เรียนเน้นทางด้านเภสัชวิเคราะห์ เค้าก็เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ยา ใช่มั๊ยครับ ? หรือเภสัชกรในโรงพยาบาลเค้าก็เชี่ยวชาญเรื่องการใช้ยาในทางคลินิก ใช่มั๊ยครับ ?

“แล้วอย่างนี้ เภสัชกรจะรู้อย่างเป็ดได้อย่างไร” ในเมื่อเภสัชกรคือผู้เชี่ยวชาญเรื่องยาในด้านต่างๆตามที่กล่าวมาอ่ะครับ ซึ่งพี่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคนที่พูดแบบนี้ เค้าคิดยังไง หรือเค้ามองมุมไหน ถึงได้เข้าใจผิดซะขนาดนี้

คำแนะนำสำหรับผู้ที่อยากเรียนเภสัชกร

สำหรับคนที่อยากเรียนเภสัช

ไขข้อข้องขัดก่อนตัดสินใจเรียนเภสัชฯ เรียนเภสัชดีไหม? การตัดสินใจเลือกเรียนคณะใด หรือสาขาใดนั้น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการพิจารณาจากข้อมูล และความรู้สึกของตนเอง ว่าในขณะนี้ตนกำลังอยู่ในสถานการณ์ใด เราต้องนำข้อมูล และความรู้สึกที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงมาช่วยในการพิจารณา บางครั้งการมีความฝันเพียงอย่างเดียวก็ไม่สามารถที่จะเป็นข้อมูลในการตัดสินใจได้ หรือการมีคะแนะที่สูงเพียงอย่างเดียวก็เช่นกัน เราต้องมีทั้งความชอบ ความรัก และความจริง ความจริงในที่นี้ก็คือ คะแนนของเราเอง และสถานการณ์ต่างๆ ที่มีส่วนในการเอื้ออำนวย เช่น สถาบันที่จะศึกษาตั้งอยู่ที่ใด ครอบครัว งบประมาณ ดังนั้นจะทำให้เราเห็นได้ว่า การตัดสินในครั้งนี้เราต้องมีการรวบรวมข้อมูลจากทั้งในตัวเราเอง และแวดล้อมมาวางแผนให้อย่างรอบคอบและถ้วนถี่ เพื่อให้อนาคตของเรามั่นคง เป็นไปตามแผนที่เรามุ่งหวัง และมีประสิทธิภาพ คณะเภสัชศาสตร์ในประเทศไทย มีทั้งหมด 12 แห่ง โดยแบ่งเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ 10 แห่ง และมหาวิทยาลัยเอกชน 2 แห่ง มีการเรียนการสอน 2 หลักสูตร คือหลักสูตร 5 ปี และ 6 ปี (ศึกษาข้อมูลเพิ่มจากรายละเอียดของแต่ละสถาบัน) ซึ่งทุกสถาบันอยู่ภายใต้การดูแลและควบคุมโดยสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษาแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ และสภาเภสัชกรรม สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาต่อเภสัชศาสตร์ ต้องมีการวางแผนให้รอบคอบอย่างถ้วนถี่ ต้องมีการติดตามข่าวสาร และข้อมูลจากสถาบันการศึกษา เภสัชศาสตร์ 12 แห่ง อยู่ตลอด เนื่องจากในแต่ละปีการเปิดรับนิสิตนักศึกษาเภสัชศาสตร์อยู่ในจำนวนจำกัด และมีเวลาเปิดรับสมัครจำกัด แม้ว่าจะมีคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยเอกชนรองรับอยู่ถึง 2 แห่ง แต่ในปัจจุบันความต้องการที่จะศึกษาต่อในศาสตร์นี้ค่อนข้างสูง จึงทำให้คณะเภสัชศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยเอกชนทั้ง 2 แห่งนี้ ก็มีการแข่งขันในอัตราที่สูงเช่นกัน ดังนั้นผู้ที่ต้องการจะศึกษาต่อเภสัชศาสตร์จึงต้องมีการวางแผนที่ดีและรอบคอบถ้วนถี่ แต่อย่างไรเราก็ต้องถามตัวเราเองเสียก่อนว่าเราจะชอบ รัก มุ่งมั่น อดทน และขยันที่จะเรียนเภสัชศาสตร์จริงหรือไม่ เพียงไร เรียนเภสัชอย่างไร? การศึกษาในคณะเภสัชศาสตร์ ระดับปริญญาตรี ในประเทศไทยปัจจุบัน มีอยู่ 2 หลักสูตรใหญ่ๆ คือ หลักสูตร 5 ปี และ 6 ปี โดยมีการเรียนการสอนแบ่งเป็น 2 ช่วงคือ ช่วงแรกเป็นการเรียนวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และวิชาอื่นๆ ช่วงที่สองเป็นการเรียนทางด้านเภสัชสาสตร์ในแขนงต่างๆ การเรียนได้แบ่งเป็นสองส่วนคือภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติ โดยในช่วงการเตรียมพื้นฐานนั้น เป็นช่วงของการปรับตัว เนื้อหาและรายวิชาจะเป็นความต่อเนื่องมาจากระดับมัธยมศึกษา อาทิ วิชาชีววิทยา เคมี ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ เป็นต้น ก็ล้วนนำเนื้อหาจากระดับมัธยมศึกษามาเรียนในขั้นที่สูงขึ้น ดังนั้นคนที่มีพื้นฐานจากการเรียนในระดับมัธยมที่ดี ก็จะได้เปรียบ แต่ก็อย่าชะล่าใจ เพราะอาจจะพลาดได้เช่นกัน ช่วงที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงที่เรียนวิชาทางเภสัชศาสตร์ในแขนงต่างๆ ก็จะต้องนำความรู้จากภาคเตรียมมาใช้ โดยต้องนำมาประยุกต์ในวิชาต่างๆ แม้แต่วิชาคณิตศาสตร์ หรือฟิสิกส์ที่ดูแล้วไม่น่าเกี่ยวข้องอะไรเลยกับวิชาทางเภสัชศาสตร์ แต่ในความจริงแล้วความรู้ทุกอย่างต้องนำมาใช้ในการเรียนเภสัชสาสตร์ทั้งหมด เช่น การเตรียมยาใน 1 ตำรับ ต้องอาศัยความรู้นอกจากทางด้านเคมีแล้ว ต้องมีหลักของฟิสิกส์ และคณิตศาสตร์ รวมถึงศาสตร์อื่นๆ มาใช้ในการเตรียมตำรับนั้นๆ เพราะเภสัชศาสตร์เป็นการเรียนที่ต้องอิงข้อมูลจากสรรพศาสตร์ โดยนำความรู้มาใช้อย่างบูรณาการ ใครจะไปคิดว่าเราต้องมีความรู้ถึงลักษณะของใบพืช การปลูกต้นไม้ การออกแบบผลิตภัณฑ์ การทำบัญชี การบริหารงานองค์กร กฎหมาย หรือแม้แต่การซ่อมบำรุง และในขณะที่ศึกษานอกจากการเรียนในห้องเรียน และห้องปฏิบัติการแล้ว ผู้ศึกษาต้องผ่านการฝึกปฏิบัติงานในองค์กร หน่วยงาน หรือสถานประกอบการต่างๆ ทางด้านเภสัชกรรม อาทิ โรงพยาบาล ร้านยา โรงงานอุตสาหกรรมยา บริษัทยา เป็นต้น ดังนั้นจึงจะเห็นได้ว่าการเรียนเภสัชศาสตร์ต้องอาศัยการสะสมความรู้จากหลากหลายสาขามาใช้ เพราะเภสัชกรไม่ใช่เป็นผู้ที่มีความรู้เรื่องการใช้ยาเท่านั้น หากแต่เป็นผู้ที่มีความรู้เรื่องยามากที่สุด และเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว ทุกคนต้องผ่านการสอบขึ้นทะเบียนใบประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมทุกคน ทุกมหาวิทยาลัย รวมทั้งผู้สำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศ จึงจะเป็นเภสัชกรได้อย่างสมบูรณ์ทางกฎหมาย และระเบียบของสภาเภสัชกรรม คนเรียนเก่ง กับคนขยัน ใครจะประสบความสำเร็จในการเรียนเภสัชศาสตร์? คำถามนี้อาจจะตอบยากเสียหน่อย แต่ถ้าต้องการชี้ชัดก็คงต้องตอบว่าคนขยัน และอดทน แต่ที่สำคัญต้องเป็นคนมีเพื่อนด้วย เพราะเนื้อหาในการเรียนค่อนข้างเยอะ งานที่ได้รับมอบหมายก็มาก ดังนั้นการเรียนที่ดีในศาสตร์นี้ ต้องช่วยการเรียน การช่วยในครั้งนี้ต้องช่วยให้ถูกต้อง คือช่วยกันค้นข้อมูล ช่วยย่อจับใจความสำคัญ ประเด็นหรือหลักที่ควรจำ ซึ่งการช่วยกันเรียนจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะจะช่วยร่นเวลาในการเรียน คือการอ่านหนังสือ การค้นคว้าให้สั้นลง อีกทั้งบางครั้งก็จะเป็นการช่วยกระตุ้นให้เรามีสติ และขยันเรียนอย่างมีกำลังใจตลอด ภาษาอังกฤษสำคัญไหม? สำคัญ แต่ไม่ต้องตกใจสำหรับใครที่เป็นคู่ขนานกับภาษาอังกฤษ คือเข้ากันไม่ได้ ไม่เข้าใจเสียที วิธีการคือ ฝึกการเปิดหนังสือภาษาอังกฤษบ่อยๆ อีกทั้งศัพท์ที่เราจะต้องเจอกันอย่างประจำทุกวันก็จะช่วยให้เราอ่านภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น ซึ่งการค้นคว้าข้อมูลส่วนใหญ่ต้องค้นมาจากตำราภาษาอังกฤษ อาทิ การตั้งตำรับยาเตรียม ต้องเปิดดูหนังสือ เช่น USP, BP เป็นต้น เพื่อนำมาอ้างอิงและใช้ในการตั้งตำรับ หรือแม้กระทั่งการเปิดดูรายละเอียดของยาต่างๆ จาก Drug information และ Mims เป็นต้น ไม่เก่งเคมีแล้วเรียนเภสัชฯได้ไหม? ได้ แต่ค่อนข้างต้องขยันให้มากๆ กว่าคนอื่น ถ้าไม่เข้าใจต้องรีบถาม เหมือนกับการเรียนวิชาอื่นๆ เพียงแต่เราจะต้องเจอเคมีอยู่ตลอด ดังนั้นเราจึงต้องเข้าใจในพื้นฐานของเคมีในด้านต่างๆ และวิชาอื่นๆ ก็เช่นกัน มีความสำคัญไม่น้อยกว่ากันแม้แต่คำนวณ เรียนเภสัชฯต้องเก่งท่องจำ หรือเข้าใจมากกว่ากัน? ทั้งสองอย่าง เพราะต้องเรียนอย่างท่องจำที่เข้าใจ เนื่องจากเนื้อหาค่อนข้างเยอะ หากใช้วิธีจำอย่างเดียว ก็ไม่สามารถจำได้หมด หรือใช้การเข้าใจอย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะมันต้องมีสิ่งที่ต้องท่องจำ ดังนั้นเราจึงต้องเรียนอย่างที่เรียกว่า “จำอย่างเข้าใจ” เรียนเภสัชจบแล้วไปไหน? เป็นหนึ่งในคำถามที่หลายคนต้องการรู้ ซึ่งภาพแรกที่ทุกคนนึกถึง ก็คือการเภสัชฯขายยาในร้านยา หรือเภสัชกรในโรงพยาบาล แต่ความจริงผู้ที่สำเร็จการศึกษาเภสัชศาสตร์สามารถประกอบวิชาชีพ และอาชีพต่างๆ ดังตัวอย่างต่อไปนี้ 1. เภสัชกร - เภสัชกรชุมชน (ร้านยา) - เภสัชกรโรงพยาบาล - เภสัชกรโรงงานอุตสหากรรมยา - ผู้แทนยา ฯลฯ 2. อาชีพอื่นๆ - ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร สปา - ผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและสุขภาพ - นักวิเคราะห์ ฯลฯ อาชีพเภสัชกรเป็นอาชีพที่ค่อนข้างมีความมั่นคง และเป็นที่ต้องการของสังคมอยู่ตลอด มีความหลากลหายในการประกอบวิชาชีพ และอาชีพอย่างมาก เพราะจากการกล่าวในข้างต้นถึงการเรียนในศาสตร์นี้ จึงทำให้ทราบได้ว่า เภสัชกรเป็นมีความรู้พื้นฐานในด้านต่างๆ ค่อนข้างกว้าง สามารถไปเรียนต่อในด้านต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย อีกทั้งสามารถนำความรู้มาใช้ในอาชีพอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรง เช่น ความรู้ทางด้านสมุนไพร กับธุรกิจ “สปา” เพื่อสุขภาพ เป็นต้น letterpk@hotmail.com

ยาทางการแพทย์ที่สำคัญ


ชื่อของยาต่างๆ ที่มีขายในร้านขายยาแผนปัจจุบันหรือใช้ในสถานพยาบาล มีอยู่ 3 ลักษณะ คือ
ชื่อทางเคมี แสดงถึงสูตรโครงสร้างโมเลกุลของยา
ชื่อสามัญ เป็นชื่อง่ายๆ รู้จักแพร่หลายกว่าชื่อทางเคมี
ชื่อทางการค้า บริษัทผู้ผลิตยาเพื่อการค้าจะตั้งชื่อจำเพาะของผลิตภัณฑ์ของตน ห้ามซ้ำกัน ต้องจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ชื่อที่ชาวบ้านได้ยินจากการโฆษณาทางสื่อต่างๆ คือชื่อการค้านี้เอง


ยกตัวอย่าง ยาลดไข้ แก้ปวด ที่ใช้กันแพร่หลาย คือ พาราเซตามอล มีชื่อดังนี้
ชื่อทางเคมี ชื่อสามัญ พาราเซตามอล


ชื่อทางการค้า พาราเซต เซตามอล ซารา ไทลีนอล ดากา คาลปอล เป็นต้น แม้จะเป็นยาชนิดเดียวกันแต่ราคาจะต่างกันแล้วแต่บริษัทนั้นๆ จะกำหนด


อาจจ่ายเงินน้อยกว่า
หากไม่เจาะจงชื่อการค้าของยา ซึ่งราคาจะตายตัว เราอาจได้ยาที่ต้องการ (ชื่อการค้าของบริษัทใดก็ได้) โดยพอเหมาะ กับ หรือ ประหยัดงบประมาณในกระเป๋าได้ คือ ถ้าเห็นว่าแพงเกินไปก็บอกเภสัชกรให้เปลี่ยนเป็นยาของบริษัทที่ถูกกว่าได้


ไม่รับประทานยาซ้ำซ้อน
ถ้าไม่รู้จักชื่อสามัญของยา เข้าใจว่ายาคนละชื่อ (ทางการค้า) เป็นยาคนละชนิด ก็อาจซื้อยาชนิดเดิมแต่คนละชื่อมากินเสริมเข้าไป ทำให้สิ้นเปลืองเงิน เสียเวลาในการรักษา และอาจเกิดพิษจากยาเกินขนาดได้
ยาแผนปัจจุบันทุกชนิดจะต้องแสดงชื่อสามัญและชื่อจดทะเบียนทางการค้า
ชื่อทางการค้า จะสังเกตได้ว่ามี R หรือ TM กำกับอยู่ใกล้ชื่อ ย่อมาจาก

ตัวอย่างชื่อยา

รายชื่อยา
รายชื่อยาที่ต้องทดสอบ dissolution
1. Acetohexamide
2. Ampicillin
3. Chloramphenicol
4. Chloroquine Phosphate
5. Choroquine sulphate
6. Chorpropamide
7. Chlortetracycline Hydrochloride
8. Dapsone
9. Digitoxin
10. Digoxin
11. Ergotamine
12. Erythromycin
13. Furosemide
14. Griseofulvin
15. Ibuprofen
16. Indomethacin
17. Isoniazid
18. Metformin
19. Methylprednisolone
20. Methysergide
21. Metronidazole
22. Oxytetracycline
23. Phenoxymethylpenicillin Potassium
24. Phenylbutazone
25. Prednisolone
26. Prednisone
27. Piroxicam
28. Praziquantel
29. Quinine Bisulphate
30. Quinine Sulphate
31. Tamoxifen Citrate
32. Tetracycline Hydrochloride
33. Tolbutamide
34. Warfarin
35. Pyrimethamine and Sulfadoxine
36. Rifampicin
รายชื่อยาที่ต้องทดสอบ content uniformity
ยาที่กฎหมายกำหนดให้ต้องทดสอบ content uniformity คือ ตำรับยาที่ในหนึ่งหน่วยของ Dosage- form มีปริมาณตัวยาสำคัญเท่ากับหรือน้อยกว่า 2 มิลลิกรัม หรือตำรับยาที่มีปริมาณตัวยาสำคัญน้อยกว่า 2% w/w ของ unit dosage-form ตำรับยานั้นต้องกำหนดมาตรฐานและวิธีทดสอบความสม่ำเสมอของปริมาณตัวยาสำคัญในหนึ่งหน่วย (Content Uniformity) ตามตำรับบริติชฟาร์มาโคเปีย ฉบับ ค.ศ. 1988
ยาที่ต้องทดสอบ bioequivalence ได้แก่ยาสามัญที่ทำเลียนแบบยาใหม่ที่พ้นระยะการขึ้นทะเบียนแบบมีเงื่อนไขแล้ว (ปลด SMP) เช่น
- Amlodipine
- Azithromycin
- Ciprofloxacin
- Clarithromycin
- Doxazosin
- Fluconazole
- Lamivudine
- Levofloxacin
- Nevirapine
- Ofloxacin
- Stavudine
- Zidovudine
รายการยาที่ถูกเพิกถอนทะเบียนตำรับ นับตั้งแต่ 1 มกราคม 2540
- ยาผสมที่มี Ethisterone เป็นส่วนประกอบ
- Quinoblue (Quinine dihydrochloride ผสมกับ Methylene blue)
- ยาที่มี Butorphanol เป็นส่วนประกอบ
- ยาที่มี Fenfuramine and dex-fenfluramine เป็นส่วนประกอบ
- ยาที่มี Amineptine เป็นส่วนประกอบ
- ยาที่มี Troglitazone เป็นส่วนประกอบ
- ยาที่มี Astemizole เป็นส่วนประกอบ
- ยาที่มี Terfenadine เป็นส่วนประกอบ
- ยาที่มี Phenylpropanolamine เป็นส่วนประกอบ
- ยาสัตว์ทุกตำรับที่มีตัวยา Nitrofurazone, Furazolidone, Dimetridazole และ
Ronidazole
ยาที่ต้องแจ้งกำหนดสิ้นอายุไว้ในฉลาก
- ให้ยาแผนปัจจุบันทุกชนิดที่ต้องแจ้งกำหนดสิ้นอายุไว้ในฉลาก (ประกาศกระทรวงสาธารณสุขมีผลบังคับใช้ 16 พฤศจิกายน 2545)
ยากลุ่มเพนนิซิลิน ตัวอย่างเช่น
- Amoxycillin
- Ampicillin
- Cloxacillin
- Dicloxacillin
- Penicillin
- Phenoxymethyepenicillin
- Piperacillin
- Sultamicillin

เทคโนโลยี เภสัชกร

เทคโนโลยีเภสัชกรรม
ลักษณะกระบวนวิชา เกี่ยวกับ
การแนะนำเภสัชตำรับ ตำราอ้างอิง และวารสารต่างๆ ทางเภสัชศาสตร์ รูปแบบยาเตรียมชนิดต่างๆ ลักษณะใบสั่งยาและภาษาที่ใช้ในใบสั่งยา การคำนวณทางเภสัชกรรม การชั่ง ตวงวัด และอาลิควอท ตลอดจนความรู้ต่างๆ ตามเภสัชตำรับ
เป็นเรื่องของ สมบัติทางเคมีกายภาพต่างๆ ของผงยา หน่วยการผลิตต่างๆ รูปแบบยาเตรียมต่างๆ ที่เป็นของแข็ง โดยเน้นการศึกษาอย่างละเอียดของยาเตรียมของแข็งแต่ละรูปแบบเกี่ยวกับลักษณะรูปแบบยาเตรียม ส่วนประกอบของตำรับ วิธีการตั้งตำรับและการพัฒนาตำรับ วิธีเตรียมและเครื่องมือที่ใช้ การบรรจุและบรรจุภัณฑ์ การเก็บรักษา การควบคุมคุณภาพ ตัวอย่างยาเตรียมตามเภสัชตำรับ และผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ
เป็นวิชาที่ศึกษาถึงสมบัติทางเคมีกายภาพต่างๆ ของสารละลาย เทคนิคการทำให้น้ำยาใส เทคนิคการสกัดและผลิตภัณฑ์ยาสกัดและรูปแบบยาเตรียมน้ำใสต่างๆ โดยเน้นการศึกษาอย่างละเอียดเกี่ยวกับลักษณะรูปแบบยาเตรียม ส่วนประกอบของตำรับ วิธีการตั้งตำรับและการพัฒนาตำรับ วิธีเตรียมและเครื่องมือการบรรจุและบรรจุภัณฑ์ การเก็บรักษา การควบคุมคุณภาพ และตัวอย่างยาเตรียมน้ำใสตามเภสัชตำรับและจากผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ
รูปแบบยาน้ำกระจายตัว และยากึ่งแข็ง โดยเน้นการศึกษาเกี่ยวกับลักษณะรูปแบบยาเตรียม สมบัติทางเคมีกายภาพ ส่วนประกอบของตำรับ วิธีตั้งตำรับ และการพัฒนาตำรับ วิธีเตรียมและเครื่องมือ การบรรจุและบรรจุภัณฑ์การเก็บรกัษา การควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์และตัวอย่างยาน้ำแขวนตะกอนและยากึ่งแข็งตามเภสัชตำรับ และจากผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ
ความรู้พื้นฐานที่จำเป็นในการเตรียมยาไร้เชื้อ และประเภทรูปแบบยาเตรียมไร้เชื้อต่างๆ โดยเน้นศึกษาอย่างละเอียดเกี่ยวกับ คุณลักษณะของรูปแบบยาเตรียม ส่วนประกอบของตำรับ วิธีการตั้งตำรับ และการพัฒนาตำรับ วิธีเตรียมและเครื่องมือที่ใช้ การพัฒนาตำรับ วิธีเตรียมและเครื่องมือที่ใช้ การบรรจุและบรรจุภัณฑ์ การเก็บรักษา การควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์ และตัวอย่างของยาเตรียมตามเภสัชตำรับ รวมทั้งการผสมตัวยาอื่นกับการให้ยาทางหลอดเลือดดำ และการให้สารอาหารทางหลอดเลือด การควบคุมและการประเมินความถูกต้องของกระบวนการผลิตยาไร้เชื้อ
ศึกษาถึงหลักการ สมบัติทางเคมีกายภาพ การตั้งสูตร ตลอดจนการประเมินและการควบคุมคุณภาพของยาเตรียมละอองลอย ยากัมมันตรังสี และยาเตรียมรูปแบบใหม่ๆ
วัตถุประสงค์การเรียนรู้

เพื่อให้สามารถ
ใช้ตำราอ้างอิง และวารสารต่างๆ ทางเภสัชศาสตร์ได้
อธิบายรูปแบบยาเตรียมชนิดต่างๆ ได้
รู้จักลักษณะของใบสั่งยา และแปลความหมายของภาษาที่ใช้ในใบสั่งยาได้
คำนวณทางเภสัชกรรม และบอกวิธีการปฏิบัติในการชั่ง ตวง วัด และอาลิควอทได้
อธิบายความรู้เรื่องต่างๆ ตามเภสัชตำรับได้
อธิบายสมบัติทางเคมีกายภาพต่างๆ ของผงยา และปัจจัยต่างที่เกี่ยวข้อง
เข้าใจหน่วยการผลิตต่างๆ ที่ใช้ในการผลิตยาและเลือกใช้เครื่องมือให้เหมาะสมกับความต้องการในการผลิต
อธิบายลักษณะและส่วนประกอบของตำรับยาที่อยู่ในรูปแบบยาเตรียมของแข็งชนิดต่างๆ และการเลือกใช้สารช่วยต่างๆ
อธิบายวิธีเตรียมยารูปแบบของแข็งชนิดต่างๆ และเครื่องมือที่ใช้ในการผลิต
อธิบายวิธีควบคุมคุณภาพและประเมินผลยาเตรียมรูปแบบของแข็งชนิดต่าง
เลือกใช้วิธีบรรจุและชนิดของบรรจุภัณฑ์ให้เมาะสมกับรูปแบบของแข็งชนิดต่างๆ
รู้จักตัวอย่างของยาเตรียมรูปแบบของแข็งที่มีขายในท้องตลาด
อธิบายลักษณะและส่วนรปะกอบของยาน้ำกระจายตัวและยากึ่งแข็งได้
ตั้งตำรับ พัฒนาตำรับ เตรียมยาตลอดจนสามารถเลือกใช้เครื่องมือในการเตรียมอธิบายการบรรจุและการเลือกบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมสำหรับยาน้ำกระจายตัวและยากึ่งแข็งได้
บอกวิธีเก็บรักษา การควบคุมคุณภาพของยานำกระจายตัวและยากึ่งแข็งตามเภสัชตำรับและจากผลิตภัณฑ์ธรรชาติได้
ความรู้พื้นฐานที่จำเป็นในการเตรียมยาไร้เชื้อต่างๆ ได้ และสามารถนำไปประยุกต์ในการผลิตและควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์ไร้เชื้อประเภทต่างๆ ได้
คุณลักษณะและส่วนประกอบของตำรับยาเตรียมไร้เชื้อแต่ละชนิดได้ การตั้งตำรับการพัฒนาตำรับ การเตรียมและการใช้เครื่องมือในการเตรียม การบรรจุและการเลือกบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมได้
เข้าใจถึงหลักการ สมบัติทางเคมีกายภาพ และสามารถประยุกต์ความรู้ความเข้าใจในการตั้งสูตร และประเมินคุณภาพของยาเตรียมละอองลอย
คุ้นเคยกับยากัมมันตรังสี และรู้จักยาเตรียมใหม่ๆ
ระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์เภสัชกรรม
ลักษณะกระบวนวิชา เป็นการแนะนำการวิจัย หลักการและวิธีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เภสัชกรรม
วัตถุประสงค์การเรียนรู้ เพื่อให้เข้าใจถึงหลักการของการวิจัย ตลอดจนขั้นตอนต่างๆ ในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เภสัชกรรม ให้สามารถนำไปประยุกต์ในการวิจัยต่อไปได้ (ในการเขียนโครงร่างปัญหาพิเศษได้)
หลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตยา
ลักษณะกระบวนวิชา เกี่ยวกับหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตยา แนวปฏิบัติในระบบการผลิต ได้แก่ บุคลากร สถานที่ผลิต การสุขาภิบาล อุปกรณ์ เครื่องมือต่างๆ วัตถุดิบ การบรรจุ ทั้งทางด้านการผลิต ควบคุมคุณภาพ การประเมินความถูกต้องของการผลิตและเอกสารการผลิต เพื่อให้ได้ยาที่มีคุณภาพมาตรฐานและและปลอดภัย รวมทั้งการประกันคุณภาพในด้านอื่นๆ
วัตถุประสงค์การเรียนรู้ เพื่อให้สามารถอธิบายและประยุกต์หลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตยา เพื่อให้ได้ยาที่มาตรฐานมีคุณภาพ และผลิดภัย
การผลิตเภสัชภัณฑ์สำหรับสัตว์
ลักษณะกระบวนวิชา เป็นความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับยาสัตว์ โรคสัตว์ รวมทั้งทฤษฎีและปฏิบัติการในการตั้งสูตร เทคนิคการผลิตและเครื่องมือที่ใช้ การบรรจุ การควบคุมคุณภาพ การประเมินผลยาเตรียมประเภทต่างๆ และอาหารเสริมสำหรับสัตว์ในขั้นอุตสาหกรรม
วัตถุประสงค์การเรียนรู้ เพื่อให้เรียนรู้ถึงทฤษฎีและการปฏิบัติในการผลิตยาเตรียมประเภทต่างๆ และอาหารเสริมสำหรับสัตว์ในขั้นอุตสาหกรรม
การผลิตยาจากสมุนไพร
ลักษณะกระบวนวิชา เป็นการตั้งและพัฒนาตำรับยาที่มีตีวยาสำคัญ หรือส่วนประกอบจากพืชสมุนไพร
วัตถุประสงค์การเรียนรู้ เพื่อให้สามารถฝึกฝนและพัฒนาการเตรียมตำรับจากพืชสมุนไพรที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ
เครื่องสำอาง
ลักษณะกระบวนวิชา หลักพื้นฐานในการผลิตเครื่องสำอางประเภทต่างๆ สมบัติทางเคมี กายภาพและทางชีวภาพของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง การทดสอบประสิทธิภาพการใช้และความคงตัวของผลิตภัณฑ์ การพัฒนาหลักสูตรและวิธีการผลิต เทคนิคการแต่งสี แต่งกลิ่น การใช้สารลดแรงตึงผิว การใช้สารกันบูด เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและปลอดภัย ตลอดจนศึกษาถึงเหตุผลและความจำเป็นในการใช้เครื่องสำอางประเภทต่างๆ
วัตถุประสงค์การเรียนรู้ เพื่อให้ทราบถึงทฤษฎีและเทคนิคพื้นฐานในการผลิตเครื่องสำอางประเภทต่างๆ เพื่อการนำมาใช้เป็นหลักในการผลิตขั้นอุตสาหกรรม
ปัญหาพิเศษทางเทคโนโลยีเภสัชกรรม
ลักษณะกระบวนวิชา เป็นการศึกษาปัญหาพิเศษทางเทคโนโยเภสัชกรรมที่น่าสนใจ โดยการศึกษาค้นคว้าวิจัยด้วยตนเอง ภายใต้คำแนะนำของคณาจารย์ เขียนรายงานส่งพร้อมทั้งเสนอรายงานต่อคณาจารย์
วัตถุประสงค์การเรียนรู้ เพื่อฝึกให้สามารถนำความรู้พื้นฐานทางเทคโนโลยีเภสัชกรรมมาประยุกต์ในการค้นคว้า วิจัยแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง
ด • พ • กวิทยาศาสตร์สุขภาพ > เภสัชศาสตร์

วิทยาศาสตร์เภสัชกรรม เภสัชเคมี · เภสัชภัณฑ์ · เภสัชอุตสาหกรรม · เภสัชเวท · เภสัชพฤกษศาสตร์ · เภสัชวิเคราะห์ · เทคโนโลยีเภสัชกรรม · วิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง

เภสัชบริบาลศาสตร์ เภสัชกรรมคลินิก · เภสัชกรรมโรงพยาบาล · เภสัชกรรมชุมชน

เภสัชศาสตร์สังคมและบริหาร เภสัชศาสตร์สังคม · บริหารเภสัชกิจ · เภสัชสาธารณสุข · เภสัชระบาดวิทยา · เภสัชเศรษฐศาสตร์ · นิติเภสัชศาสตร์

เภสัชวิทยาและพิษวิทยา เภสัชวิทยา · เภสัชจลนศาสตร์ · เภสัชพลศาสตร์ · พิษวิทยา

ศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง เคมีอินทรีย์ · เคมีฟิสิกส์ · ชีวเคมี · จุลชีววิทยา · กายวิภาคศาสตร์ · สรีรวิทยา · สาธารณสุข

หลักเภสัชกร

หลักเภสัช 4 ประการ



ผู้ที่จะเป็นหมอ จะต้องศึกษาในหลักใหญ่ 4 ประการซึ่งเป็นหลักวิชาที่สำคัญที่สุดของเภสัชกรรมไทยที่จะเว้นเสียมิได้ เรียกว่า รู้ในหลักเภสัช 4 มีดังต่อไปนี้


1.เภสัชวัตถุ คือ ต้องรู้จักวัตถุธาตุนานาชนิด ที่จะนำมาใช้เป็นยารักษาโรค
2.สรรพคุณเภสัช คือ ต้องรู้จักรสและสรรพคุณของยา และวัตถุธาตุ ที่จะ
นำมาใช้ปรุงเป็นยารักษาโรค
3.คณาเภสัช คือ ต้องรู้จักพิกัดยา คือ ตัวยาหลายสิ่งหลายอย่างที่โบราณา-
จารย์นำมาจัดไว้เป็นหมวดหมู่
4.เภสัชกรรม คือ ต้องรู้จักการปรุงยาตามวิธีกรรมแผนโบราณ ตลอดจน
รู้จักมาตราชั่ง ตวง ของไทยและสากล.








การรู้จักตัวยา 5 ประการ



ผู้เป็นหมอจะต้องรู้จักตัวยา 5 ประการ ซึ่งโบราณาจารย์ได้ใช้เป็นหลักในการ
พิจารณา เพื่อให้รู้จักตัวยาต่างๆ อย่างถูกต้อง

การรู้จักตัวยา 5 ประการนี้ เป็นวิธีการดูและจำแนกตัวยา ว่าตัวยานั้นๆ เป็น
เครื่องยาชนิดเดียวกันกับที่แสดงไว้ในตำรับยา หรือตรงตามตัวยาที่ต้องการ
หรือไม่ โดยพิจารณาตามหลัก 5 ประการดังนี้

1.รู้จักรูปลักษณะ คือ รู้ว่าตัวยานั้นๆ มี รูปลักษณะอย่างไร เช่น
ในพืชวัตถุ รู้ว่าเป็น ต้น ใบ ดอก แก่น กระพี้ ฝัก เนื้อ ผล ยาง เป็นต้น
ในสัตว์วัตถุ รู้ว่าเป็น หัว หนัง นอ ดี กราม กรวด กระดูก เลือด ฟัน เป็นต้น
ในธาตุวัตถุ รู้ว่าเป็น บัลลังก์ศิลา เกลือสมุทร กำมะถันแดง ทองคำ เป็นต้น

2.รู้จักสี คือ รู้ว่าตัวยานั้นๆ มีสีเป็นอย่างไร เช่น แก่นฝางเสน มีสีส้ม
ผักแพวแดง มีสีแดง รงทอง มีสีเหลือง กำมะถันแดง มีสีแดง กระดองปลาหมึก มีสีขาว งาช้าง มีสีขาว จุนสี มีสีน้ำเงิน เป็นต้น

3.รู้จักรส คือ รู้ว่าตัวยานั้นๆ มีรสเป็นอย่างไร เช่นอย่างที่โบราณาจารย์นำ
มาจัดไว้เป็นหมวดหมู่

4.เภสัชกรรม คือ ต้องรู้จักการปรุงยาตามวิธีกรรมแผนโบราณ ตลอดจน
รู้จักมาตราชั่ง ตวง ของไทยและสากล

เภสัชกรดีเด่นปี2548

เภสัชกรดีเด่น



เภสัชกรโรงพยาบาลดีเด่นด้านบริการเภสัชสนเทศประจำปี พ.ศ. 2548 ได้แก่ เภสัชกรหญิงจันทิมา โยธาพิทักษ์:



เภสัชกรหญิงจันทิมา โยธาพิทักษ์ จบการศึกษาในระดับปริญญาตรีจากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลในปีพ.ศ.2532 และเภสัชศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาเภสัชกรรมคลินิก มหาวิทยาลัย ขอนแก่น ในปีพ.ศ.2544 ได้เริ่มปฏิบัติงานครั้งแรกในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายเภสัชกรรม โรงพยาบาลบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี ระหว่างปี พ.ศ.2532-2534 แล้วย้ายมาเป็นเภสัชกร กลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี รับผิดชอบงานบริหารเวชภัณฑ์จนถึงปีพ.ศ.2536 หลังจากนั้นได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าศูนย์บริการข้อมูลข่าวสารด้านยาและพิษวิทยา จนถึงปัจจุบัน



จากการเริ่มงานในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายเภสัชกรรมโรงพยาบาลชุมชนตั้งแต่ต้น ทำให้เภสัชกรหญิงจันทิมาได้เรียนรู้และมีโอกาสทำงานประสานกับบุคลากรระดับต่างๆ ตั้งแต่ยังเป็นหน่วยงานเล็ก และด้วยความมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับวิชาชีพอื่นในโรงพยาบาล ประกอบกับนิสัยการทำงานอย่างตั้งใจ ทุ่มเททั้งกำลังกายกำลังใจและเวลา ดังนั้น เมื่อได้รับมอบหมายให้เริ่มงานบริการข้อมูลข่าวสารด้านยา กลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี จึงสามารถพัฒนางานให้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว มีความพยายามในการจัดหาและพัฒนาแหล่งข้อมูลเป็นจำนวนมากทำให้การสืบค้นข้อมูลมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังให้บริการด้วยความเต็มใจกับบุคลากรทางการแพทย์ต่างๆ ในโรงพยาบาลและประชาชนทั่วไป ในที่สุด เมื่อได้รับการจัดตั้งให้เป็นศูนย์บริการข้อมูลข่าวสารด้านยาและพิษวิทยา จึงมีผลงานเป็นที่ยอมรับในแวดวงวิชาชีพอย่างกว้างขวาง สามารถทำประโยชน์ในการสนับสนุนงานรักษาพยาบาลผู้ป่วยได้ทั่วประเทศ



นอกจากการปฏิบัติงานในโรงพยาบาลแล้ว เภสัชกรหญิงจันทิมา ยังได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรและอาจารย์พิเศษ นำเสนอประสบการณ์และถ่ายทอดความรู้อันเป็นประโยชน์ให้กับนักศึกษาเภสัชศาสตร์ และงานวิชาชีพด้วย รวมทั้งเป็นผู้ริเริ่มในการนำงานวิจัยมาประยุกต์ใช้เพื่อการสืบค้นหาปัญหาและปรับปรุงแก้ไข ทำให้มีการพัฒนาการทำงานอยู่เสมอ



เภสัชกรหญิงจันทิมา เป็นผู้มีนิสัยใฝ่ศึกษาหาความรู้เพื่อการพัฒนาการทำงานอย่างไม่หยุดยั้ง และด้วยคุณสมบัติที่ดีในการปฏิบัติงานอย่างตั้งใจ ทุ่มเท และบริการด้วยความเต็มใจ จึงถือเป็นแบบอย่างที่ดีของเภสัชกรโรงพยาบาล ในการเป็นที่พึ่งของบุคลากรทางการแพทย์และประชาชนทั่วไปด้านแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับยา ช่วยสนับสนุนให้การรักษาผู้ป่วยมีประสิทธิภาพ และทำให้บทบาทวิชาชีพเภสัชกรรมมีความโดดเด่น เป็นที่ยอมรับกว้างขวางทั่วไป ไม่เฉพาะภายในจังหวัดสุราษฎร์ธานีเท่านั้น รวมทั้งยังมีผลงานวิจัยที่มีคุณภาพตีพิมพ์เผยแพร่เป็นจำนวนมากอีกด้วย



จากผลงานดีเด่นดังกล่าว สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล(ประเทศไทย) ในคราวประชุมครั้งที่ 12 วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ.2548 จึงมีมติให้ เภสัชกรหญิงจันทิมา โยธาพิทักษ์ เข้ารับมอบรางวัลเภสัชกรโรงพยาบาลดีเด่น ด้านบริการเภสัชสนเทศ เพื่อเป็นเกียรติประวัติสืบไป



เภสัชกรโรงพยาบาลดีเด่นด้านเภสัชกรรมชุมชนประจำปี พ.ศ. 2548 ได้แก่ เภสัชกรหญิงณัฐธิรส ศรีบุญเรือง:


เภสัชกรหญิงณัฐธิรส ศรีบุญเรือง จบการศึกษาในระดับปริญญาตรีจากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในปีพ.ศ.2534 และสาธารณสุขศาสตร์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในปีพ.ศ.2541 ชีวิตการทำงานเริ่มจากตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายเภสัชกรรมชุมชน โรงพยาบาลศรีบุญเรือง จังหวัดหนองบัวลำภู ระหว่างพ.ศ. 2534-2536 และย้ายไปรับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายเภสัชกรรมชุมชน โรงพยาบาลแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่ปีพ.ศ.2536 จนถึงปัจจุบัน ควบคู่กับตำแหน่งผู้จัดการศูนย์พัฒนาคุณภาพ



เนื่องจากนายแพทย์ไกร ดาบธรรม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลแม่อาย มีแนวคิดในการพัฒนาชุมชนและเข้าใจกระบวนการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง มุ่งเน้นการสร้างองค์กรให้มีการทำงานเป็นทีมและมีความรู้สึกร่วมกันว่าความสำเร็จในการพัฒนาเป็นผลงานของทุกคน เภสัชกรหญิงณัฐธิรส นับเป็นกำลังสำคัญในกระบวนการพัฒนาดังกล่าว ครอบคลุมทั้งการพัฒนางานบริการเภสัชกรรม การกระตุ้น ผลักดัน บุคลากรในโรงพยาบาล ให้มีการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง พัฒนางานคุ้มครองผู้บริโภค ในส่วนของผู้ผลิต ผู้จำหน่าย และผู้บริโภค ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์สุขภาพ และส่งเสริมศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจชุมชน รวมทั้งการพัฒนางานแพทย์แผนไทยและสมุนไพร งานสุขศึกษาประชาสัมพันธ์ การให้ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพและการใช้ยาแก่ประชาชน ผ่านสื่อวิทยุชุมชนมะลิกา และการออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ที่สำคัญคือ การพัฒนาระบบสารสนเทศของโรงพยาบาล ทำให้มีระบบสารสนเทศที่ดี ทันสมัย สามารถประมวลข้อมูลต่างๆ เพื่อการพัฒนาคุณภาพทั้งงานบริหารและบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้โรงพยาบาลแม่อายเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สามารถประสานระบบคุณภาพต่างๆเข้าด้วยกัน บรรลุเป้าหมายในการเป็นโรงพยาบาลต้นแบบ ที่มีมาตรฐาน สร้างความไว้วางใจ และประทับใจแก่ประชาชนทุกระดับ



ด้วยความเข้าใจในกระบวนการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง และด้วยจิตใจในการมุ่งพัฒนา การเรียนรู้ของบุคลากรทุกระดับ รวมทั้งการพัฒนาชุมชนเพื่อแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ เภสัชกรหญิงณัฐธิรส จึงถือเป็นแบบอย่างที่ดีของเภสัชกรชุมชน ที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์และยอมรับของบุคลากรต่างวิชาชีพรวมทั้งประชาชน ทั้งภายในองค์กรและในระดับชุมชน จนได้รับคัดเลือกให้เป็นข้าราชการที่มีผลงานดีเด่นจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ประจำปี2547 เป็นที่ปรึกษากระบวนการพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาล และเป็นวิทยากรบรรยายเรื่องการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลและการพัฒนาคุณภาพงานเภสัชกรรม ทั้งในระดับจังหวัด และระดับประเทศด้วย



จากผลงานดีเด่นดังกล่าว สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย) ในคราวประชุมครั้งที่ 12 วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ.2548 จึงมีมติให้ เภสัชกรหญิงณัฐธิรส ศรีบุญเรือง เข้ารับมอบรางวัลเภสัชกรโรงพยาบาลดีเด่น ด้านเภสัชกรรมชุมชน เพื่อเป็นเกียรติประวัติสืบไป



เภสัชกรโรงพยาบาลดีเด่นด้านการบริบาลทางเภสัชกรรมประจำปี พ.ศ. 2548 ได้แก่ เภสัชกรหญิงอัมพร จันทรอาภรณ์กุล:



เภสัชกรหญิงอัมพร จันทรอาภรณ์กุล จบการศึกษาในระดับปริญญาตรีจากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ในปีพ.ศ.2543 และเข้าปฏิบัติงานในฝ่ายเภสัชกรรมโรงพยาบาลศิริราชตั้งแต่จบการศึกษาจนถึงปัจจุบัน หลังจากปฏิบัติงานบริการจ่ายยาได้ประมาณ 1 ปีเศษ ภญ.อัมพรได้รับมอบหมายจากฝ่ายเภสัชกรรมให้เป็นผู้รับผิดชอบโครงการให้คำปรึกษาแนะนำด้านยาสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาวาร์ฟาริน (Drug Counselling Program for Warfarin Therapy) โดยจัดเป็นโครงการร่วมระหว่างสหสาขาวิชาชีพประกอบไปด้วยแพทย์ เภสัชกร พยาบาล นักกายภาพบำบัด นักสังคมสงเคราะห์ และเจ้าหน้าที่เวชนิทัศน์ ในช่วงแรกที่เริ่มงาน บทบาทหลักคือการให้ความรู้ผู้ป่วย โดยทำให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงเหตุผลของการใช้ยา วิธีการใช้ยาอย่างถูกต้อง ความสำคัญของการใช้ยาอย่างต่อเนื่อง การมาพบแพทย์เพื่อติดตามผลการรักษาอย่างสม่ำเสมอ การเฝ้าระวัง ป้องกันและแก้ไขอาการข้างเคียงเบื้องต้นและการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องในระหว่างที่ใช้ยาวาร์ฟาริน โดยวิธีการประเมินผลในช่วงแรกนี้คือ การทำแบบทดสอบก่อนและหลังการให้ความรู้ผู้ป่วย ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้เป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่งและได้นำเสนอข้อมูลดังกล่าวในงานประชุมวิชาการประจำปีของสมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาลในปี 2545



จากจุดเริ่มต้นดังกล่าวจนถึงปัจจุบัน งาน warfarin clinic ที่โรงพยาบาลศิริราชได้พัฒนาขึ้นอย่างน่าประทับใจเป็นอย่างยิ่ง โดยบทบาทในปัจจุบันได้ขยายมาเป็นการให้บริบาลทางเภสัชกรรมที่เต็มรูปแบบและได้มาตรฐานสากลเท่าเทียมกับต่างประเทศ นอกเหนือจากการให้บริการพื้นฐานเกี่ยวกับการให้ความรู้ผู้ป่วยข้างต้นแล้ว ภญ.อัมพรและคณะยังได้มีบทบาทในการค้นหาและเสนอแนะแนวทางในการแก้ไขปัญหาจากการใช้ยาแก่แพทย์อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นที่ยอมรับของแพทย์เป็นอย่างดี จากการประเมินผลลัพธ์ทางคลินิกล่าสุดในปี 2547 พบว่า warfarin clinic นี้ ช่วยทำให้การรักษาบรรลุเป้าหมายมากขึ้น มีอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนของการเกิดก้อนเลือดอุดตันและภาวะเลือดออกน้อย ลงกว่าในอดีต อีกทั้งยังสามารถช่วยค้นหาและเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาจากการใช้ยาอื่นๆ เช่น ปฏิกิริยาระหว่างยา ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นับได้ว่าภญ.อัมพรและคณะได้ทำประโยชน์ให้แก่ผู้ป่วยที่เข้ารับบริการอย่างน่ายกย่อง และยังทำให้บทบาทของเภสัชกรเป็นที่ยอมรับของผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์อื่นๆ อีกด้วย



นอกเหนือจากการให้บริการผู้ป่วยแล้ว ภญ.อัมพรและคณะยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมวิชาชีพโดยรับเป็นแหล่งฝึกให้แก่นักศึกษาเภสัชศาสตร์แก่มหาวิทยาลัยหลายแห่ง และยังเป็นแหล่งฝึกปฏิบัติงานสำหรับเภสัชกรโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการ Anticoagulation Traineeship ภายใต้การดูแลของสมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาลอีกด้วย ผลจากการส่งเสริมวิชาชีพดังกล่าว ทำให้ปัจจุบันมี warfarin clinic หลายแห่งถือกำเนิดขึ้นโดยมี warfarin clinic ของโรงพยาบาลศิริราชเป็นต้นแบบ ทำให้ผู้ป่วยไทยอีกจำนวนมากได้รับประโยชน์จากยาอย่างเต็มประสิทธิภาพและปลอดภัย



สิ่งที่น่ายกย่องเกี่ยวกับภญ.อัมพรคือ การค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง การทำงานโดยยึดถือเอาประโยชน์ของผู้ป่วยเป็นที่ตั้ง ความเสียสละและทุ่มเทให้กับงาน และการมีความคิดริเริ่มที่จะพัฒนาโดยการก้าวไปข้างหน้าตลอดเวลา



ภญ.อัมพรได้พัฒนาตนเองจากผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับยาวาร์ฟารินที่จำกัดมากและไม่แตกต่างจากเภสัชกรที่จบใหม่คนอื่นๆ มาเป็นผู้ที่มีความรู้และความชำนาญในระดับที่เท่าเทียมกับผู้ที่ได้รับการศึกษาในระดับสูงจากต่างประเทศในระยะเวลาเพียง 2-3 ปี โดยเป็นการศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเองเป็นหลัก สิ่งนี้ถือเป็นแบบอย่างที่ดีที่แสดงให้เห็นว่า เภสัชกรธรรมดาคนหนึ่ง หากมีความมุ่งมั่นและตั้งใจเพียงพอ ก็จะสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเอง จนถึงระดับที่สามารถทำประโยชน์ให้กับผู้ป่วยได้อย่างเต็มที่และเป็นที่ยอมรับของบุคลากรทางการแพทย์อื่นๆ สมควรเป็นแบบอย่างของเภสัชกรอื่นๆ ที่สนใจทำงานเภสัชกรรมคลินิกได้



การที่ภญ.อัมพรได้พัฒนางานจากการให้ความรู้ผู้ป่วยมาเป็นการให้บริบาลทางเภสัชกรรมอย่างเต็มรูปได้ต้องอาศัยทักษะในการทำงานร่วมกับผู้อื่นและความคิดริเริ่มในการพัฒนางานอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความคิดริเริ่มของภญ.อัมพร ได้แก่ การจัดทำอุปกรณ์และสื่อที่ใช้ประกอบการให้ความรู้ผู้ป่วย และเทคนิคการให้คำแนะนำผู้ป่วยที่มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าผู้ป่วยจะมีระดับการศึกษาในระดับใด รวมถึงการพัฒนาการประเมินผล จากการทำแบบสอบถามบนกระดาษ จนปัจจุบันมีการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาเป็นเครื่องมือ เพื่อใช้ประเมินข้อมูลทางคลินิกที่สำคัญอื่นๆ นอกจากนี้ ภญ.อัมพรยังได้นำข้อมูลและแบบฟอร์มต่างๆที่ผ่านการคิดค้นและพัฒนาไว้แล้วเหล่านี้ใส่ไว้ในเว็บไซต์ของฝ่ายเภสัชกรรม ซึ่งเผยแพร่ไปยังเภสัชกรและผู้สนใจอื่นๆ ให้ได้ใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวางต่อไปอีกด้วย



ด้วยผลงานดีเด่นดังกล่าว สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย) ในคราวประชุมครั้งที่ 12 วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ.2548 จึงมีมติให้ เภสัชกรหญิงอัมพร จันทรอาภรณ์กุล เข้ารับมอบรางวัลเภสัชกรโรงพยาบาลดีเด่น ด้านการบริบาลทางเภสัชกรรม เพื่อเป็นเกียรติประวัติสืบไป



เภสัชกรโรงพยาบาลดีเด่นด้านบริหารงานเภสัชกรรมประจำปี พ.ศ. 2548 ได้แก่ เภสัชกรอำนวย พฤกษ์ภาคภูมิ:




เภสัชกรอำนวย พฤกษ์ภาคภูมิ จบการศึกษาในระดับปริญญาตรีจาก คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในปีพ.ศ.2523 และสาธารณสุขศาสตร์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหิดล ในปีพ.ศ.2534 รวมทั้งได้รับปริญญาบัตรและวุฒิบัตรอื่น ๆ เริ่มปฏิบัติงานในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายเภสัชกรรม โรงพยาบาลชุมพวง จังหวัดนครราชสีมา ระหว่างปีพ.ศ. 2523-2528 แล้วย้ายมารับตำแหน่งหัวหน้างานคลังเภสัชภัณฑ์ หัวหน้างานผลิตยา และรองหัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลสมุทรสาคร ตามลำดับ ตั้งแต่ปีพ.ศ.2528-2539 และได้รับตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลสมุทรสาคร ในปีพ.ศ.2539 จนถึงปัจจุบัน



จากความตั้งใจและมุ่งมั่นในวิชาชีพเภสัชกรรมโรงพยาบาล เมื่อย้ายมาปฏิบัติงานในกลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลสมุทรสาคร เภสัชกรอำนวยได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ และนำมาพัฒนางานด้านต่างๆให้เกิดประสิทธิภาพ เป็นแบบอย่างที่ดีและเป็นกำลังสำคัญของเภสัชกรโรงพยาบาลสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขที่ทำคุณประโยชน์อย่างกว้างขวาง โดยเข้าร่วมเป็นกรรมการในการพัฒนางานเภสัชกรรมโรงพยาบาล กระทรวงสาธารณสุข ทั้งงานบริหารคลังเวชภัณฑ์ งานบริการเภสัชกรรม และงานผลิต โดยให้ความสำคัญในการพัฒนาระบบสารสนเทศ และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สนับสนุนการปฏิบัติงานเภสัชกรรมด้วย และเมื่อโรงพยาบาลสมุทรสาครสมัครเข้าร่วมกระบวนการรับรองคุณภาพโรงพยาบาล (Hospital Accreditation) ทำให้มีโอกาสในการพัฒนาบทบาททางวิชาชีพเริ่มมากขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหาร และบุคคลในสายวิชาชีพอื่น



ด้วยความรู้และประสบการณ์การปฏิบัติงานหลายหน้าที่ในกลุ่มงานเภสัชกรรม เมื่อได้รับตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มงาน เภสัชกรอำนวยจึงบริหารจัดการด้วยความเข้าใจและไม่ย่อท้อต่อปัญหาหรืออุปสรรค ทำให้ได้รับความร่วมมือร่วมใจจากเภสัชกรในทีมนำของกลุ่มงาน มีการปรับปรุงพัฒนางานอย่างไม่หยุดยั้ง ด้วยการส่งเสริมและกระตุ้นให้ทุกคนในทีมนำมีส่วนร่วมในการแสดงศักยภาพ ร่วมเสนอความคิดเห็นเพื่อการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง และทำงานด้วยความสามัคคี ทำให้บทบาททางวิชาชีพเป็นที่ยอมรับของวิชาชีพอื่นๆ และเกิดแนวคิดในการพัฒนางานด้วยรูปแบบเชิงรุก เช่น งานบริการเภสัชกรรมจ่ายยาผู้ป่วยนอกเชิงรุก เป็นต้น นับเป็นแบบอย่างที่ดีของหัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรมที่มีผลงานดีเด่นเป็นที่ประจักษ์และยอมรับทั้งในแวดวงวิชาชีพและในสังคม จากการได้รับคัดเลือกให้เป็นเภสัชกรดีเด่นจากชมรมโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาล ทั่วไป ในปี 2534 และได้รับเข็มบุรฉัตรจากกรมทหารสื่อสารที่ 1 ในการเป็นผู้บำเพ็ญคุณความดี และมีเกียรติ ในปี 2545 นอกจากนี้ยังเป็นหัวหน้าที่เห็นความสำคัญในการพัฒนาบุคลากรด้วย โดยการสนับสนุนให้เภสัชกรในกลุ่มงานได้ศึกษาเพิ่มเติมด้านเภสัชกรรมคลินิก เพื่อพัฒนางานบริบาลเภสัชกรรมให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นับเป็นผู้บริหารงานเภสัชกรรมที่มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่องเพื่อประโยชน์ต่อประชาชนในภาพรวม



จากผลงานดีเด่นดังกล่าว สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย) ในคราวประชุมครั้งที่ 12 วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ.2548 จึงมีมติให้ เภสัชกรอำนวย พฤกษ์ภาคภูมิ เข้ารับมอบรางวัลเภสัชกรโรงพยาบาลดีเด่น ด้านบริหารงานเภสัชกรรม เพื่อเป็นเกียรติประวัติสืบไป

ประกาศเกียรติคุณเภสัชกรดีเด่นปี2552

ประกาศเกียรติคุณเภสัชกรดีเด่น ประจำปี 2552
จากสมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาลแห่งประเทศไทย

ด้านบริการเภสัชสนเทศ : ภญ.สุชาดา ธนภัทร์กวิน (ศิษย์เก่า ม.อ รุ่นที่ 8)
รับราชการที่วิทยาลัยแพทยศาสตร์และวชิรพยาบาล
ตำแหน่งหัวหน้าหน่วยวิชาการเภสัชกรรม

เภสัชกรคุณากร : ภก.สันติ เบ็ญอาบัส (ศิษย์เก่า ม.อ รุ่นที่ 14 )
รับราชการที่โรงพยาบาลทุ่งยางแดง จังหวัดปัตตานี
ตำแหน่ง เภสัชกรชำนาญการพิเศษ หัวหน้าฝ่ายเภสัชกรรมชุมชน

เภสัชกรคืออะไร

เภสัชกร

เภสัชกร (อังกฤษ: Pharmacists) คือผู้ที่มีวิชาชีพทางด้านสาธารณสุข (health profession) มีหน้าที่จ่ายยา ให้ผู้ป่วย และเป็นผู้ผลิตยา เภสัชกรจะต้องเป็นผู้มีความรู้ความสามารถหลายสาขาโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านการแพทย์ไม่ว่าจะเป็นทางด้านคลินิก โรงพยาบาล และเภสัชชุมชนซึ่งจะต้องเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ทางเลือกหนึ่งของวิชาชีพเภสัชกรคือการปฏิบัติงานในร้านขายยาซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าของร้านเอง (small business) ในงานด้านนี้เภสัชกรนอกจากจะมีความชำนาญในธุรกิจร้านค้าแล้วยังมีความรู้และข้อมูลการใช้ยาทั้งประสิทธิภาพและผลข้างเคียงของยา ตลอดจนการให้ข้อมูลความรู้ให้คำปรึกษาการใช้ยาแก่ชุมชนด้วย เภสัชกรบางครั้งเรียกว่านักเคมี เพราะในอดีตมีการให้ผู้สำเร็จการศึกษาในวิชาเคมีสาขาเภสัชกรรม (Pharmaceutical Chemistry (PhC)) มาเป็นเภสัชกรซึ่งเรียกกันว่านักเคมีเภสัชกรรม ("Pharmaceutical Chemists") โดยเฉพาะในประเทศอังกฤษ เช่น เครือข่ายร้านขายยาของบู๊ตส์เรียกเภสัชกรของบู๊ตส์ว่า "นักเคมีบูตส์" ('Boots The Chemist')




คุณสมบัติของเภสัชกร
1.สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปในสาขาเภสัชศาสตร์

2.มีสุขภาพกายและจิตดี ไม่พิการ ไม่ตาบอดสี มีมนุษย์สัมพันธ์ มีความเป็นผู้นำเพราะอาจทำงานร่วมกับผู้อื่นโดยเฉพาะในงานการผลิต มีบุคลิกภาพดี

3.รักในอาชีพ มีความรับผิดชอบสูง

4.มีความสนใจในวิชาวิทยาศาสคร์ เคมีชีววิทยา และสอบได้คะแนนดีในวิชาเหล่านี้

5.ชอบค้นคว้า ทดลอง ใช้ปัญญาในการวิเคราะห์

6.ละเอียด รอบคอบ ช่างสังเกต

7.มีความซื่อสัตย์

8.ชอบการท่องจำ เพราะต้องจำชนิด ส่วนประกอบของยา ชื่อยาและชื่อสารเคมีในการรักษาโรค ชื่อและประโยชน์ของต้นไม้ที่มียา

ความต้องการขั้นพื้นฐานสำหรับการจดทะเบียน (registration) เป็นเภสัชกรรับอนุญาตจะต้องเป็น ผู้ที่เรียนจบจากคณะเภสัชศาสตร์ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ซึ่งจะได้รับปริญญาดังนี้

เภสัชศาสตรบัณฑิต(ภบ) (Bachelor of Pharmacy (BPharm))
เภสัชศาสตรมหาบัณฑิต(ภม) (Master of Pharmacy (MPharm))
เภสัชบริบาลศาสตรบัณฑิต (ภบ.บ.) หรือ เภสัชศาสตรบัณฑิต(ภบ) (บริบาลเภสัชกรรม) (Doctor of Pharmacy (PharmD))
ระยะเวลาที่ใช้ในการสำเร็จการศึกษาจแตกต่างในแต่ละประเทศดังนี้

ประเทศไทยใช้เวลา 5 ปี ได้ ภบ (BPharm) หรือเรียน 6 ปี ได้ ภบบ (PharmD)
สหภาพยุโรป (European Union) รวมถึงสหราชอาณาจักร เดิมเรียน 4 ปีได้ ภบ (BPharm) ปัจจุบันถูกแทนที่ด้วยเรียน 4 ปี ได้ ภม (MPharm) เลย
ประเทศออสเตรเลียใช้เวลา 4 ปี ได้ ภบ (BPharm) ต่ออีก 2 ปีได้ ภม (MPharm)
สหรัฐอเมริกาใช้เวลา 4 ปี ได้ ภบ (BPharm) ต่ออีก 2 ปีได้ ภบบ (PharmD) มีฐานะเทียบเท่า พบ (medical doctor (MD))
หลักสูตรการเรียนเภสัชศาสตร์
หลักสูตรมาตรฐานที่ใช้เรียนในคณะเภสัชศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ มีดังนี้

เภสัชภัณฑ์ (Pharmaceutics)
เคมีเภสัชภัณฑ์ (Pharmaceutical chemistry) หรือเคมีเวชภัณฑ์ (Medicinal chemistry)
เภสัชวิทยา (Pharmacology)
จุลชีววิทยา (Microbiology)
เคมี (chemistry)
ชีวเคมี (Biochemistry)
เภสัชพฤกษศาสตร์ (Pharmaceutical Botany)
เภสัชวินิจฉัย (Pharmacognosy)
เภสัชอุตสาหกรรม (Industrial Pharmacy)
สรีรวิทยา (Physiology)
กายวิภาคศาสตร์ (anatomy)
อาหารเคมี (Foods Science)
เภสัชกรรม (Pharmacy)
กฎหมายยา (pharmacy law)
เภสัชจลนศาสตร์ (Pharmacokinetics)
ไตวิทยา (nephrology)
ตับวิทยา (hepatology)
ปฏิบัติการเภสัชกรรม (Pharmacy practice) ประกอบด้วย ปฏิกิริยาระหว่างยา, การติดตามผลการใช้ยา (medicine monitoring) การบริหารการใช้ยา (medication management)
บริบาลเภสัชกรรม (Pharmaceutical care)บูรณาการด้านการใช้ยากับผู้ป่วย และดูแลติดตามผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด
การจดทะเบียนเป็นเภสัชกร
เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้ยาแก่ประชาชนทั่วไป ประเทศต่าง ๆ จึงได้กำหนดบุคคลที่จะมาเป็นเภสัชกรจะต้องถูกฝึกอบรมมาอย่างถูกต้องและพอเพียงโดยการจดทะเบียน ซึ่งผู้ที่ได้รับการจดทะเบียนจะต้องมีคุณสมบัติและผ่านการสอบ ดังนี้

ประเทศไทย ผู้ที่ผ่านการศึกษาเภสัชศาสตร์ และต้องการจะได้รับการจดทะเบียนเป็นเภสัชกร ต้องผ่านการสอบรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม จากสภาเภสัชกรรม ก่อน
ประเทศอังกฤษ ผู้ที่ผ่านการศึกษาเภสัชศาสตร์และต้องการจะได้รับการจดทะเบียนเป็นเภสัชกร จะต้องฝึกงานทางด้านเภสัชกรรมอย่างน้อย 1 ปี ก่อนสอบรับใบอนุญาตจากสมาคมเภสัชกรรมอังกฤษ (Royal Pharmaceutical Society of Great Britain)
สหรัฐอเมริกา ผู้ที่ผ่านการศึกษาเภสัชศาสตร์และต้องการจะได้รับการจดทะเบียนเป็นเภสัชกร จะต้องการสอบ 2 ด่าน ดังนี้
การสอบแนปเพลกซ์ (North American Pharmacist Licensure Examination-NAPLEX)
การสอบแนบพ์ (National Association of Boards of Pharmacy-NABP)
หน้าที่ของเภสัชกร
ส่วนมากเภสัชกรจะพบกับผู้ป่วยในจุดแรกด้วยการสอบถามปัญหาเกี่ยวกับสาธารณะสุขพื้นฐานโดยเฉพาะเกี่ยวกับยา การใช้ยา ผลข้างเคียงของยา ฯลฯ ดังนั้นหน้าที่ของเภสัชกรจึงคอนข้างกว้างซึ่งพอสรุปได้ดังนี้

บริหารงานเกี่ยวกับการใช้ยาในทางคลินิก (clinical medication management)
การเฝ้าติดตามสถานการณ์ของโรคเฉพาะ (specialized monitoring) ที่เกี่ยวกับยาและผลของยาทั้งโรคธรรมดาและซับซ้อน
ทบทวนการใช้ยาอย่างละเอียดถี่ถ้วน (reviewing medication regimens)
ติดตามการรักษาโรคอย่างต่อเนื่อง (monitoring of treatment regimens)
ติดตามดูแลสุขภาพอนามัยทั่วไปของผู้ป่วย (general health monitoring)
ปรุงยา (compounding medicines)
ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับสุขภาพอนามัยทั่วไป (general health advice)
ให้การศึกษาแก่ผู้ป่วยเป็นการเฉพาะ (specific education) เกี่ยวกับสถานการณ์ของโรคและการรักษาด้วยยา
ตรวจสอบเพื่อป้องกันความผิดพลาดในการจ่ายยา (dispensing medicines)
ดูแลจัดเตรียม(provision)ยาที่ไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์(non-prescription medicines)
ให้คำปรึกษาและแนะนำผู้ป่วยถึงการใช้ยาให้มีประสิทธิภาพสูงสุด(optimal use of medicines)
แนะนำและรักษาโรคพื้นๆทั่วไป(common ailments)
ส่งต่อผู้ป่วยไปยังวิชาชีพสาธารณะสุขอื่นที่ตรงกับโรคของผู้ป่วยมากกว่าถ้าจำเป็น
จัดเตรียมปริมาณยา (dosing drugs) ในผู้ป่วยตับและไตล้มเหลว
ประเมินผลการเคลื่อนไหวของยาในผู้ป่วย (pharmacokinetic evaluation)
ให้การศึกษาแก่แพทย์ (education of physicians) เกี่ยวกับการใช้ยาอย่างถูกต้อง
ร่วมกับวิชาชีพทางด้ายสาธารณะสุขอื่นในการสั่งยา (prescribing medications) ให้คนไข้ในบางกรณี
ดูแล จัดเตรียม จัดหา และรักษาเภสัชภัณฑ์ให้อยู่สภาพพร้อมใช้งาน (pharmaceutical care)
สาขาวิชาชีพเภสัชกรรม
สาขาวิชาชีพเภสัชกรรมพอจำแนกได้ดังนี้:

เภสัชกรคลินิก Clinical pharmacist
เภสัชกรชุมชน Community pharmacist
เภสัชกรโรงพยาบาล Hospital pharmacist
เภสัชกรที่ปรึกษาการใช้ยา Consultant pharmacist
เภสัชกรสุขภาพอนามัยทางบ้าน Home Health pharmacist
เภสัชกรบริหารข้อมูลยา Drug information pharmacist
เภสัชกรสารวัตรยา Regulatory-affairs pharmacist
เภสัชกรอุตสาหกรรม Industrial pharmacist
อาจารย์เภสัชกร Academic pharmacist